ลูกเดือย บำรุงกระดูก-สายตารักษาโรคเบาหวาน

image

ลูกเดือยจัดเป็นพืชตระกูลข้าว ในปัจจุบันนิยมนำมาเป็นส่วนผสมหนึ่งของน้ำ RC น้ำเพื่อสุขภาพคนที่ชอบกินอาหารเจ คงรู้จักลูกเดือยดี ในตำรายาจีนกล่าวว่า ลูกเดือย รสชุ่มจืด เย็น แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงม้าม ปอด กระเพาะอาหาร ม้าม ขับปัสสาวะ รวมทั้งบำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอด รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย แก้ไข้ เหน็บชา ชักกระตุก สตรีตกขาวมากกว่าปกติ
ในตำรายาจีนจึงมักใช้ลูกเดือยบดผสมข้าว ต้มเป็นข้าวต้มกินทุกวันเพื่อบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บวมน้ำ ปวดข้อไขข้ออักเสบ ปวดเข่าเรื้อรัง บำรุงม้าม ตับ ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้ทางเดินหายใจ เหน็บชา แก้ชักกระตุก ปอดอ่อนแอไอเป็นเลือด แก้อาการ ตกขาวผิดปกติ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงเส้นผมและผิวหนัง แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดการเกิดกระ รักษาโรคหูด นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการรับประทานลูกเดือยต้มน้ำตาลสามารถที่จะแก้ร้อนในได้
เมื่อพิจารณาส่วนประกอบทางเคมีของลูกเดือยมี คาร์โบไฮเดรต ๕๘-๖๒ % – ไขมัน ๕ % – โปรตีน ๑๒ % – น้ำ ๑๐.๘ % – ใยอาหาร ๘.๔ %
นอกจากนี้ในลูกเดือยยังมีวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง เป็นต้น ดังนั้นลูกเดือยเป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง จึงมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง และการที่มีวิตามินบีหนึ่งสูงจึงช่วยแก้เหน็บชาตามความเชื่อของชาวจีน
มีข้อมูลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ว่าสาร coxenolide ในเมล็ดเดือยมีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอก และพบว่าสารสกัดด้วยน้ำหรือตัวทำละลายอินทรีย์ จากรากหรือเมล็ดเดือยมีฤทธิ์ทำให้การหมุนเวียนของเลือดที่ผิวหนังดีขึ้น ทำให้เส้นผมเจริญดีขึ้น ลูกเดือยยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรัง ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยังยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก
สำหรับน้ำลูกเดือยให้ฟอสฟอรัสสูงมากช่วยบำรุงกระดูก รองลงมามีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงธาตุ เป็นอาหารสำหรับคนไข้พักฟื้น ช่วยเจริญอาหาร ลูกเดือย มีกรดอะมิโนที่กระตุ้นให้เซลล์สมองหลั่งสารที่ทำให้นอนหลับ สมองที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา จะได้หยุดพักชั่วคราว จึงแนะนำให้ผู้ที่นอนไม่หลับ ดื่มน้ำอุ่นผสมลูกเดือยจะช่วยให้นอนหลับได้
คุณค่าลูกเดือยยังมีอีกมากเพราะลูกเดือยมีกรดอะมิโนทุกชนิดที่สูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ยกเว้นเมทไธโอนีนและไลซีน เช่น มีกรดกลูตามิกในปริมาณมากตามด้วยลูซีน, อลานีน,โปรลีน วาลีน, ฟินิลอลานีน, ไอโซลูซีน และอาร์จีนีนลดหลั่นลงมา แถมลูกเดือยยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่น กรดโอเลอิค และกรดลิโนเลอิก รวมแล้วถึง ๘๔ % และเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว คือ ปาล์มิติ และสเตียริก เพียง ๑๖ % เท่านั้น
ลูกเดือยเป็นอาหารที่มีคุณภาพคับเมล็ดจริงๆ เพราะให้ทั้งพลังงาน ไขมัน แร่ธาตุ และกรดที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างยอดเยี่ยม รู้อย่างนี้แล้วบรรดา ส. (สูงวัย) ทั้งหลายรีบหามากินกันนะครับ
วิธีทำน้ำลูกเดือย นำลูกเดือยดิบมาประมาณ ๔ ถ้วยตวง ล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อเติมน้ำประมาณ ๑๐ ถ้วยตวง ตั้งไฟเคี่ยวจนลูกเดือยสุกเปื่อย ใส่น้ำตาลทราย ๒ ถ้วยตวง เกลือป่นเสริมไอโอดีน ๑ ช้อนชา พักไว้ให้เย็น แล้วใส่ในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด ก็จะได้น้ำลูกเดือยกินเพื่อสุขภาพ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก จำรัส เพชรนิล
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ประโยชน์ของลูกเดือย

ลูกเดือยมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีปริมาณโปรตีน 13.84% คาร์โบไฮเดรต 70.65% ใยอาหาร 0.23% ไขมัน 5.03% แร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะฟอสฟอรัสมีอยู่ในปริมาณสูงมากเมื่อเทียบกับธัญพืชชนิดอื่นๆ ซึ่งช่วยบำรุงกระดูก ฟัน เหมาะสำหรับผู้มีภาวะกระดูกพรุน วัยทอง เป็นอย่างมาก รวมทั้งมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 โดยเฉพาะวิมามินบี 1 มีในปริมาณมาก (มีมากกว่าข้าวกล้อง) ซึ่งช่วยแก้โรคเหน็บชาด้วย

ลูกเดือยมีโปรตีนสูงเทียบเท่าโปรตีนที่ได้จากข้าวโอ๊ต มีกรดอะมิโนทุกชนิดในลูกเดือยสูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก และกรดอะมิโน เป็นตัวสำคัญที่ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น เพราะกรดอะมิโนจะไปกระตุ้นให้เซลล์สมองหลั่งสารที่ทำให้นอนหลับ สมองก็จะพักการทำงานชั่วคราว ยิ่งกว่านั้นลูกเดือยยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่นกรดโอเลอิค

จากงานวิจัยพบว่า ลุกเดือย-ธัญพืชมหัศจรรย์ชนิดนี้ มีสารโคอิกซีโนไลด์ (Coixenolide) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ช่วยย่อยอาหาร ช่วยลดน้ำตาลและไขมันในเลือด ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ป้องกันหวัด บำรุงไต ลดความดันเลือดได้อีกด้วย

เคล็ดลับการหุงลูกเดือยให้อร่อย

หุงลูกเดือยผสมกับข้าวกล้อง มีวิธีทำดังนี้

1. แช่ลูกเดือย (เลือกพันธุ์ตามชอบ) ในน้ำทิ้งไว้ 6 ชั่วโมงถึง 1 คืน เพื่อให้เมล็ดดูดซับน้ำไว้จนอิ่มตัว (ถ้าไม่แช่น้ำเวลาต้มเมล็ดจะสุกยากหรือแข็งเป็นไต)

2. เทน้ำที่แช่ทิ้ง เติมน้ำสะอาดลงไป นำไปต้มจนลูกเดือยสุก โดยสังเกตว่าเมล็ดจะใส หรือตักเมล็ดขึ้นมาบี้ดู เนื้อจะนิ่ม

3. หากต้องการลดระยะเวลาในการต้ม สามารถใส่เบกกิ้งโซดาเล็กน้อยลงไปในน้ำต้ม จะช่วยทำให้เมล็ดสุกเร็วขึ้น

4. ปิดไฟ ใช้กระชอนตักเมล็ดขึ้น แล้วแช่ลงในน้ำธรรมดาหรือน้ำเย็น เพื่อให้เมล็ดกระจายตัว ไม่เกาะกันเป็นก้อน จากนั้นยกกระชอนขึ้น สะเด็ดน้ำ ตักลูกเดือยใส่ถุงพลาสติคในปริมาณที่จะกินแต่ละวัน มัดปากถุงให้แน่น แล้วนำไปแช่ในตู้เย็นช่องแช่แข็ง

5. เมื่อจะหุงข้าว นำลูกเดือยออกจากตู้เย็น หลังซาวข้าวกล้องเรียบร้อยแล้ว ใส่ลูกเดือยแช่แข็งลงไป ปิดฝาหม้อ กดปุ่มหุงข้าวได้ทันที ลูกเดือยจะกระจายตัวผสมรวมกับข้าวกล้อง และไม่ทำให้ข้าวกล้องแฉะ

ซุปลูกเดือย

ส่วนผสมซุปลูกเดือย

ลูกเดือย 1 ถ้วย

อกไก่ 1 ชิ้น

แครอทสับ 1/2 ถ้วย

หอมหัวใหญ่สับ 3 ช้อนโต๊ะ

เห็ดหอมหั่นบาง 1/4 ถ้วย

โรสแมรี่ 1/2 ช้อนชา

นมสด 1/2 ถ้วย

พริกไทย 1 ช้อนชา

เกลือ 1 ช้อนชา

น้ำตาล 1 ช้อนชา

พาเมซานชีสนิดหน่อย

วิธีทำซุปลูกเดือย

1. ต้มลูกเดือยให้สุกก่อน นำอกไก่มาหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า

2. นำหม้อตั้งน้ำให้ร้อน ใส่อกไก่ลงไป พอเดือดก็ใส่ส่วนผสมลูกเดือยที่เราต้มแล้ว ใส่แครอทสับ ใส่หอมหัวใหญ่สับ ใส่เห็ดหอมหั่นบาง ใส่นมสด แล้วต้มให้สุก

3. พอสุกก็ใส่ โรสแมรี่ พริกไทย เกลือ น้ำตาล ชิมรสอีกครั้ง แล้วตักใส่ถ้วยโรยหน้าด้วยพาแมซานชีส ก็พร้อมเสิร์ฟ

หากไม่ชอบทานเนื้อไก่ สามารถเปลี่ยนเป็น หอยนางรม หอยเชลล์ ก็ได้ หากชอบรสจัดก็เติมเกลือและน้ำตาลเพิ่มได้ตามชอบ

กินลูกเดือยสลับกับกินธัญพืชชนิดอื่นๆ รับรองว่า ความฉลาด หุ่นดี อ่อนเยาว์ และอายุยืน

ยาแก้ไอมะกรูดทำง่ายๆใช้ได้ผล

image

หามะกรูดสดที่แก่จัดแต่ว่าผิวเขียวสดไม่เหลืองนะครับ เพราะว่าจะมีน้ำเยอะดีครับ มาล้างและหันเป็นชิ้นเล็กๆๆ เอาเมล็ดออกด้วยนะครับ แล้วเติมในขวดแก้วให้เหลือเพื้นที่ด้านบนซักหน่อยนะครับ เติมน้ำตาลทรายแดงกลบไว้ด้านบนในอัตราส่วน มะกรูด 3 ส่วน ต่อ น้ำตาลทรายแดง 1 ส่วนครับ ไม่ต้องเติมน้ำนะครับ เพราะว่าน้ำตาลจะค่อยๆๆดึงวิตามินและสารสำคัญอันเป็นประโยชน์ ทั้งหลายออกมาจากมะกรูดเองครับ แล้วปิดผ่าขวดโหลเก็บไว้หนึ่งเดือนนะครับ เมื่อครบหนึ่งเดือนเราจะได้น้ำหมักจากมะกรูดเป็นยาจิบแก้ไอคุณภาพดีมาก ปลอดสารอันตรายใดๆๆเก็บไว้ในตู้เย็นได้หลายเดือนเลยครับ ที่นี้เราก็ไม่ต้องซื้อยาที่มีสารต่างๆๆซึ่งอาจมีผลตกค้างต่อตัวเรามาใช้กันแล้วครับ

ส่วนเนื้อมะกรูดที่เหลือ เติมน้ำตาลทรายหมักต่อในอัตราส่วนเท่าเดิมครับ หมักไว้อีกหนึ่งเดือนแล้วก็จะได้น้ำหมักมะกรูด อีกเป็นชุดที่สองครับ

แล้วก็เทน้ำมะกรูดนี้ออกมาใส่ขวดสะอาดเก็บไว้ได้เหมือนเดิมครับ ส่วนกากที่เหลือก็ให้เติมน้ำตาลอีกรอบในอัตราเดิมหมักต่ออีกหนึ่งเดือนก็จะได้น้ำมะกรูดอีกเหมือนเช่นเดิมครับ สามารถหมักได้สามรอบนะครับ

ที่นี้มาถึงรอบสุดท้ายที่เราได้น้ำ มะกรูดออกแล้ว ให้เติมน้ำตาลทรายแดง กับน้ำผึ้งในอัตราส่วน น้ำตาลสองส่วน น้ำผึ้งหนึ่งส่วนครับ แล้วทิ้งไว้หนึ่งอาทิตย์ แล้วนำ ออกมาใส่ถุงพลาสติกสะอาดหนาๆๆหน่อยแล้วกลิ้งบดทับด้วยขวดแก้วกลมๆๆจนเนื้อเนียบละเอียดนะครับ แล้วตักเก็บใส่ขวดโหลแก้วเล็กๆๆไว้ ครับ สามารถน้ำมาชงเป็นชาน้ำผึ้งมะกรูด ซึ่งหอมกรุ่นมากประโยชน์ได้อีกนะครับ

รับมือโรคหอบหืดด้วยพริกหยวก

image

โรคหอบหืดเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศเย็น ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำคอ โพรงจมูก และระบบทางเดินหายใจ สามารถรุกล้ำเข้าสู่หลอดลมและลงปอดได้ง่าย และทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น แต่อาการเหล่านี้สามารถรับมือได้ด้วยการทานพริกหยวก

พริกหยวกเป็นพืชประจำฤดูหนาวชนิดหนึ่ง ในพริกหยวกนั้นอุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยในการต่อต้าน อนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหอบหืด โดยวิตามินซีในพริกหยวกจะเข้าไปทำหน้าที่ จับตัวอนุมูลอิสระเหล่านั้นเพื่อให้มีค่าเป็นกลาง และทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้ดีขึ้น

แนะดื่มน้ำมะนาวร้อน ดีต่อสุขภาพ และชีวิตยืนยาว

image

หมอหวิ๋จงเสี่ยน  แนะดื่มน้ำมะนาวร้อน ดีต่อสุขภาพ และชีวิตยืนยาว น้ำมะนาวร้อน ทำลายล้างเซลล์มะเร็ง
ฝานมะนาวบางสัก 2-3 ชิ้นในถ้วย แล้วเติมน้ำร้อน ทำเป็นน้ำด่าง ดื่มเป็นประจำทุกวัน ดีต่อสุขภาพ

รสขมในน้ำมะนาวร้อน เป็นสารต้านมะเร็ง ส่วนน้ำมะนาวเย็นนั้น มีเพียงวิตามินซี ไม่สามารถ ป้องกันมะเร็งได้ มะเขือเทศปรุงสุก จึงมีสารไลโคปีน

น้ำมะนาวร้อน ช่วยระงับการเติบโต ของก้อนเนื้องอก
การทดลองพิสูจน์ว่า น้ำมะนาวร้อน มีผลในการป้องกันมะเร็ง
การบำบัดวิธีนี้ ทำลายเซลล์ก้อนเนื้อร้าย โดยไม่มีผล ต่อเซลล์ ในร่างกาย

กรดมะนาว และสารโพลีฟีนอล ในน้ำมะนาว ช่วยปรับระดับ ความดันโลหิต เส้นเลือดอุดตัน ปรับการไหลเวียน ของกระแสเลือดดีขึ้น ลดการแข็งตัวของเลือด

คำแนะนำให้กินมันเทศ โดยเฉพาะที่มีสีเหลืองหรือสีม่วง สามารถต้านมะเร็ง และ การดื่มน้ำมะนาวร้อน โดยไม่เติมน้ำตาล ก็ต้านมะเร็งเช่นกัน

01. งดอาหารมื้อดึก เพราะจะเพิ่มโอกาส เป็นมะเร็งกะเพาะ
02. สัปดาห์หนึ่งไม่ควรกินไข่มากกว่า 4 ฟอง
03. เนื้อสะโพกไก่ กินมาก เป็นเหตุให้เป็นโรคมะเร็ง
04. ไม่ควรกินผลไม้หลังอาหาร ควรกินผลไม้ ก่อนมื้ออาหาร
05. ขณะมีรอบเดือน ไม่ควรดื่มชา ให้กินอาหาร ที่ช่วยบำรุงเลือดแทน
06. น้ำเต้าหู้ไม่ควรใส่ไข่ และไม่เติมน้ำตาล
07. เมื่อท้องว่าง ไม่ควรกินมะเขือเทศ ควรกินหลังอาหาร
08. ดื่มน้ำธรรมดาก่อนมื้อเช้าทุกวัน เพื่อป้องกัน โรคนิ่วในกะเพาะ
09. ก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง งดทานอาหาร
10. งดดื่มชาใส่นม เพราะไขมันในนมข้น และน้ำตาล ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน และ โรคความดันโลหิตสูง
11. ไม่ควรกินขนมปัง หรือซาลาเปา ที่เพิ่งนึ่งร้อนๆ จากเตานึ่งหรือเตาปิ้ง
12. การชาร์จโทรมือถือ ควรห่างจากตัว ไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร และไม่ควรอยู่ใกล้ที่นอน ขณะนอนหลับ
13. ดื่มน้ำ 10 แก้วต่อวัน ป้องกันมะเร็งกะเพาะ
14. กลางวัน ดื่มน้ำให้มาก และดื่มให้น้อย ตอนกลางคืน
15. ไม่ควรดื่มกาแฟ มากกว่า 2 แก้วต่อวัน จะทำให้ นอนไม่หลับ และท้องอืด
16. ของมันหรือของทอด กินมากทำให้ เลือดคั่ง ที่กะเพาะลำไส้ เป็นเหตุให้ง่วงซึม อยากนอนบ่อย
17. หลัง17.00 น ต้องรับประทานอาหารให้น้อยลง
18. 10 สิ่งที่ควรทานกิน:
        ปลาทะเลน้ำลึก กล้วย เกรฟฟุต ขนมปังโฮลวิต  ผักโขม กระเทียม ฟักทอง นมพร่องมันเนย เนื้อไก่ ลูกพีช
19. นอนน้อยกว่า 8 ช.ม.ต่อวัน ทำให้สมองเสื่อม การงีบตอนพักเที่ยง ทำให้แก่ช้า

ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ด้วยอาหาร 9 ชนิด

image

ช่วงนี้คุณมีอาการหลงๆ ลืมๆ บ้างหรือเปล่าครับ ถ้ามีนั่นคือสัญญาณเบื้องต้นของโรคอัลไซเมอร์ อย่าเพิ่งตกใจไปครับ เพราะโรคนี้ป้องกันได้ด้วยการรับประทานอาหารเหล่านี้
1.น้ำมันสลัด ที่อุดมไปด้วยวิตามิน E จะช่วยป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง
2.เนื้อปลา DHA ช่วยในการทำงานของเซลล์ประสาท
3.ผักใบเขียว เป็นแหล่งของกรดโฟเลตช่วยลดระดับของกรดอะมิโนชนิด Homocysteine สาเหตุของการเสื่อมสภาพของเซลล์
4.อะโวคาโด มีวิตามิน E สูงป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง และช่วยบำรุงผิว
5.เมล็ดทานตะวัน อุดมไปด้วยวิตามิน E ป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง
6.ถั่วลิสงและเนยถั่ว แหล่งของไขมันที่ดี และเต็มไปด้วยวิตามิน E ช่วยให้หัวใจและสมองมีสุขภาพดีและทำงานอย่างถูกต้อง
7.ไวน์แดง หากดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์
8.ผลเบอร์รี่ ช่วยกำจัดสารพิษของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียความจำ
9.ธัญพืชไม่ขัดสี ลดปัจจัยเสี่ยงของหลอดเลือด ซึ่งอาจมีบทบาทในการเกิดโรคจากสมอง

5 อาหารดีๆ บำรุงไต

image

○○ 5 อาหารดีๆ บำรุงไต ○○

การรับประทานอาหารหลายๆอย่างที่มากเกินความจำเป็น จะทำให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารบางชนิดเกินกว่าความต้องการและอาจทำให้ “ไต” ต้องทำงานหนักและเสื่อมเร็วได้
         แต่สำหรับอาหารบางชนิดเมื่อรับประทานแล้วมีส่วนช่วยบำรุงไตให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เช่น กระเทียมสด ,หอมหัวใหญ่,กะหล่ำปลี ,ปลาสด และแครนเบอร์รี่
        1. กระเทียมสด  จะมีสารอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดี มีสรรพคุณในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา รวมทั้งป้องการโรคหัวใจโรคหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ที่สำคัญยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไต และการอักเสบต่างๆ
        2. หอมหัวใหญ่  เป็นอาหารบำรุงสุขภาพสำหรับคนที่มีระดับครีเอตินิน ในระดับสูง หรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคไต ซึ่งในหอมหัวใหญ่จะมีสารประกอบธรรมชาติอย่างโพรสตาแกลนติน ที่มีคุณสมบัติในการลดความหนืดของเลือด และช่วยลดความดันของเลือด ซึ่งจะทำให้ลดอาการโรคไตลงได้
        3. กะหล่ำปลี  จะมีวิตามิน C กรดฟอลิก เส้นใย และยังมีโพแทสเซียมต่ำ ซึ่งสามารถขจัดสารพิษบางอย่างออกจากร่างกายได้ ทำให้ลดภาระการทำงานของไตได้ และป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทั้ง 2 โรค สามารถเชื่อมโยงการเกิดโรคไตได้
        4. ปลาสด เช่น แซลมอน เทราต์ และซาร์ดีน  อุดมไปด้วยโปรตีนและโอเมก้า 3 ที่คนไม่สามารถผลิตเองได้ ซึ่งการกินปลาสดเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิต และคอเลสเตอรอลสูงได
        5. แครนเบอร์รี่   ผลไม้ลูกเล็กสีแดงที่จะช่วยเพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ และลดความเสี่ยงในการเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ด้วย

     ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า

มนุษย์ ‘อาหารกล่องโฟม’ คนกินเสี่ยงมะเร็ง 6 เท่า

image

คุณรู้หรือไม่ ผู้ที่ทานอาหารตามสั่งที่บรรจุกล่องโฟม มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า
          (star) “กล่องโฟม” ภาชนะบรรจุอาหารที่นิยมใช้ตามท้องตลาดทั่วไป มักมีสีขาวๆ น้ำหนักเบา และราคาถูก แต่คุณเชื่อไหมว่า สิ่งเหล่านี้ ทำมาจากของเสียเหลือทิ้งสีดำๆ จากกระบวนการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ที่ผ่านกระบวนการผลิตให้ดูน่ากินน่าใช้ แต่บรรจุภัณฑ์ดังกล่าว ประกอบด้วยสารสไตรีน (Styrene) ซึ่งผู้ที่ได้รับสารดังกล่าวในปริมาณที่ต่อเนื่อง จะทำให้สมองมึนงง และเสื่อมง่าย หงุดหงิดง่าย ในผู้หญิง จะมีผลทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ มะเร็งเต้านม ส่วนผู้ชาย จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก และทั้งชายหญิง จะเสี่ยงต่อมะเร็งตับอีกด้วย
          (star) บรรจุภัณฑ์จากโฟมที่มีรูปทรงน่าสนใจ ราคาไม่แพง
          นอกจากนี้ สารสไตรีน ยังมีผลต่อทารกในครรภ์ สำหรับแม่ที่รับประทานอาหารบรรจุในกล่องโฟม ลูกมีโอกาสสมองเสื่อมเป็นเอ๋อ เสี่ยงพิการ ซึ่งถ้ารับประทานอาหารกล่องโฟมทุกวัน วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่าเลยทีเดียว
          ส่วนปัจจัยที่ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับสารสไตรีนในกล่องโฟม ความร้อนจัด หรือเย็นจัด จะเป็นปัจจัยที่เร่งให้สารสไตรีน สะสมในอาหารได้โดยง่าย และยิ่งถ้าอาหารชนิดนั้นมีส่วนผสมวของน้ำมัน น้ำส้มสายชู แล้ว จะยิ่งทำให้อาหารดูดสารสไตรีนจากกล่องโฟมได้มากกว่าปกติอีกด้วย
          (star) ผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษชานอ้อย
          ทั้งนี้ เมื่อเรามองเห็นถึงอันตรายจากการบริโภคอาหารจากกล่องโฟมแล้ว เชื่อว่า หลายคนอาจตระหนักถึงพิษภัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่หากจำเป็นต้องรับประทานอาหารกล่อง ลองเลือกร้านที่ใช้กล่องเยื่อกระดาษชานอ้อย ซึ่งมีความปลอดภัยสูง หรือจะยอมเสียเวลาสั่งใส่จาน แล้วรับประทานไปเลยปลอดภัยกว่าเยอะ

          ที่มา: เว็บไซต์แนวหน้า

แอปเปิ้ลแต่ละสีมีประโยชน์ต่างกัน

image

แอปเปิ้ล ผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน

หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก ประโยชน์ของแอปเปิ้ลที่คุณควรรู้มีดังต่อไปนี้

แอปเปิ้ลที่เห็นตามท้องตลาด มีทั้งเปลือกสีแดง สีชมพู สีเขียว และสีเหลือง แตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ แต่เนื้อข้างในก็เหมือนกันคือ เป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล ทราบไหมว่า เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล จะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม

นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส
แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวก็จะลดลงไปด้วย มีความเชื่อของฝรั่งกล่าวไว้ว่า การรับประทานแอปเปิ้ลวันละผล ช่วยให้ห่างไกลหมอได้ โดยแอปเปิ้ลแต่ละสีก็มีประโยชน์ต่างกันดังนี้

แอปเปิ้ลสีแดง

ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย

แอปเปิ้ลสีชมพู

คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

แอปเปิ้ลสีเขียว

มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี

แอปเปิ้ลสีเหลือง
มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

ต่อจากนี้ไปก่อนซื้อแอปเปิ้ลคงต้องพิจารณาก่อนว่าช่วงนั้นร่างกายต้องการอะไร อยากผิวสวยต้องแอปเปิ้ลแดงกับเขียว อยากฟันแข็งแรงต้องแอปเปิ้ลชมพู แต่ถ้าอยากลดหุ่นสีไหนก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้นแหละค่ะ มากินแอปเปิ้ลกันดีกว่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

จะทานไข่ไก่หรือไข่เป็ดดี ?

image

วันนี้คุณรับประทานไข่หรือยัง หรือ วันนี้คุณรับประทานไข่ไก่หรือไข่เป็ด ชักจะสงสัยขึ้นมาแล้วว่า ไข่ไก่หรือไข่เป็ด อะไรดีกว่ากัน ด้วยเหตุนี้เองจึงอยากจะมาชี้แจงเรื่องนี้ให้ทราบกัน

ไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีความสำคัญมากและรับประทานกันแพร่หลายทั่วๆไป ประชาชนทั่วๆไปมักจะพูดกันและรู้จักไข่ในลักษณะอาหารเสริม บำรุงกำลัง ผู้ที่ไม่มีแรง อ่อนเพลีย หรือผู้ที่เจ็บป่วย มักถูกญาติมิตร เพื่อนฝูง แนะนำให้รับประทานไข่บ้าง อาหารไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์และสะดวกในการประกอบอาหารรับประทาน

อย่างไรก็ตามจริงๆแล้วเรื่องราวของไข่เกี่ยวกับคุณประโยชน์จริงๆนั้นยังรู้จักกันน้อย บางครั้งมักจะมีผู้ตั้งคำถามอยู่เสมอว่าไข่ไก่หรือไข่เป็ด ชนิดไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน

ความจริงแล้ว โปรตีนจากไข่ขาวเป็นโปรตีนชั้นดี ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้แทนเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพของร่างกายได้ทั้งหมด นับว่าดีกว่าเนื้อสัตว์เสียอีก ทางการแพทย์บอกว่า ไข่ขาวสามารถเปลี่ยนเป็นโปรตีนของร่างกายได้เต็ม 100 % ประชาชนของประเทศส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะสนใจมากนัก เราควรจะหันมาให้ความสนใจกับการรับประทานไข่ให้มากขึ้น จะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ดก็ได้ เพราะล้วนแต่ให้ประโชน์ทั้งนั้น

ในต่างประเทศมักจะไม่ค่อยรับประทานไข่เป็ดกัน เพราะหาได้ลำบากกว่าไข่ไก่ จะสร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ดแบบเลี้ยงไก่ก็ทำไม่สะดวกไข่ไก่หรือไข่เป็ดชนิดใดมีคุณค่ามากกว่ากัน ดีกว่ากัน ข้อมูลเป็นตัวเลขเปรียบเทียบให้เห็นดังนี้สำหรับไข่ไก่ 1 ฟอง และ ไข่เป็ด 1 ฟอง

สารอาหาร ไข่ไก่ ไข่เป็ด
พลังงาน ( แคลอรี ) 169 180
ไขมัน ( กรัม ) 11.9 12.6
คาร์โบไฮเดรต ( กรัม ) 1.7 4.1
โปรตีน ( กรัม ) 12.7 11.7
แคลเซี่ยม ( มิลลิกรัม ) 76.0 71.0
เหล็ก ( มิลลิกรัม ) 3.5 2.8
วิตามิน บี 1 ( มิลลิกรัม ) 0.08 0.27
วิตามิน บี 2 (มิลลิกรัม ) 0.48 0.56
วิตามิน บี 5 (มิลลิกรัม ) 0.1 0.1

คุณค่าของไข่ไก่และไข่เป็ด มีส่วนแตกต่างกันบ้าง เช่น ไข่ไก่หนือกว่าไข่เป็ด ในด้านโปรตีน แคลเซี่ยม เหล็ก แต่ไข่เป็ดกลับเหนือว่าในด้านพลังงาน ไขมัน วิตามิน บี 1 วิตามิน บี 2

หากเรารับประทานไข่ไก่หรือไข่เป็ด 1 ฟอง คิดปริมาณน้ำหนัก 50 กรัม เมื่อเทียบความต้อการสารอาหารที่ควรได้รับสำหรับประชาชนใน 1 วัน ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ในวันหนึ่งควรรับประทานไข่เพียงวันละ 1 ฟอง ก็จะได้สารอาหารที่จำเป็นมากพอสมควรแล้วค่ะ

(ขอขอบคุณข้อมูลจาก scimath)

7 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประจำเดือน ที่คุณอาจยังไม่เคยรู้

image

ประจำเดือน กับ 7 เรื่องที่เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนยังไม่เคยรู้มาก่อน บางข้อรู้แล้วถึงกับอึ้งเลยนะเนี่ย

เรียกได้ว่าประจำเดือนนี่แหละเป็นมิตรแท้ของสาว ๆ เลย เพราะไม่รู้จะคิดถึงอะไรกันบ่อยจัง เล่นมาหาทุกเดือนเลย kiki emoticon วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยอยากให้สาว ๆ รู้จักมิตรแท้ที่เจอกันทุกเดือนให้มากยิ่งขึ้น ด้วยการนำ 7 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประจำเดือนจาก allwomenstalk มาฝากค่ะ เชื่อสิว่าบางข้อคุณไม่เคยรู้มาก่อนแน่ ๆ

เลือดที่เสียไปน้อยกว่า 1 ถ้วย

เวลาเป็นประจำเดือน สาว ๆ คงคิดล่ะสิว่าเลือดที่เสียไปน่ะเยอะมาก เพราะบางทีก็ล้นทะลักมาเปื้อนกางเกงในทะลุไปยันกางเกงที่ใส่อยู่อีกด้วย แต่ความจริงแล้วทุก ๆ เดือนเราเสียเลือดไปแค่ 2-4 ช้อนโต๊ะเองนะ ซึ่งมันน้อยกว่า 1 ถ้วยซะอีก

ประจำเดือนมาก็ท้องได้

ใครว่าประจำเดือนมาจะท้องไม่ได้ล่ะ เพราะจริง ๆ แล้วคุณก็ตั้งท้องระหว่างมีประจำเดือนได้เหมือนกัน แต่ทว่าโอกาสมีเพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง ฉะนั้นอย่าชะล่าใจไม่ป้องกันระหว่างมีเพศสัมพันธ์เชียวนะคะ

สัตว์ชนิดอื่นก็มีประจำเดือน

ไม่เพียงแต่มนุษย์ผู้หญิงบนโลกนี้เท่านั้นที่มีประจำเดือน เพราะสัตว์อื่น ๆ อย่างสัตว์ประเภทค้างคาว ช้าง และอาร์ดวาร์ก ก็เป็นสัตว์ที่มีประจำเดือนเหมือนกันนะ

ประจำเดือนมาไม่ตรงไม่ต้องเครียด

ถ้ามีปัญหาประจำเดือนมาไม่ตรง อย่างบางเดือนมา 3 วันบ้าง 7 วันบ้างก็ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะความจริงแล้วต้องใช้เวลาถึง 6 ปีเชียวนะกว่าประจำเดือนจะมาตรงแบบไม่คลาดเคลื่อน
ช่วงตกไข่นี่แหละมีเสน่ห์

เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ผู้ชายจะรู้ว่าคุณอยู่ในช่วงตกไข่ แต่ในช่วงนี้ร่างกายของสาว ๆ จะปล่อยฮอร์โมนบางอย่างออกมา ซึ่งทำให้่ผู้ชายอยากอยู่ใกล้ชิดมากขึ้น แถมช่วงนี้คุณผู้หญิงจะดูมีเสน่ห์มากขึ้นด้วยนะ

ผู้หญิงที่อยู่ด้วยกันจะมีประจำเดือนไล่เลี่ยกัน

หากเคยได้ยินมาว่าผู้หญิงที่เป็นเพื่อนหรือครอบครัวเดียวกันที่ใกล้ชิดกันบ่อย ๆ จะมีประจำเดือนในเวลาเดียวกันหรือไล่เลี่ยกัน ซึ่งถึงแม้ว่าเคสนี้วิทยาศาสตร์จะยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ผู้หญิงหลายคนก็ยืนยันว่านี่แหละคือเรื่องจริงที่เกิดกับตัวเอง

เลือดประจำเดือนต่างจากเลือดอื่น

เคยสังเกตไหมว่าเลือดประจำเดือนบนผ้าอนามัยที่เห็น ทำไมช่างดูแตกต่างจากเลือดเวลามีดบาดจัง ก็เพราะเลือดประจำเดือนที่ไหลออกมามีเศษเนื้อเยื่อปนอยู่ในนั้นด้วยน่ะสิ ฟังดูน่ากลัวใช่ไหมล่ะคะ

โอ้โห … รู้แบบนี้แล้วต้องร้องว้าวออกมาดัง ๆ เลย เพราะประจำเดือนที่คิดว่าเป็นแค่เลือดธรรมดาที่ออกมาจากร่างกาย กลับไม่ใช่อย่างที่คิดซะแล้วสิเนี่ย kiki emoticon

Cr. Jelly walker

เข้าใจตรงกันโภชนาการบำบัดโรค

image

ขอให้อ่านติ๊ดนึง… ความรู้ใหม่..เข้าใจตรงกันโภชนาการบำบัดโรค

1.ดื่มน้ำร้อนปลอดทุกโรค

2.กินไข่ลวกวันละสองฟอง ใส่พริกไทยดำตำเองหนึ่งช้อนชาจะห่างไกลจากอัลไซเมอร์ไม่ต้องไปหาหมอ

3.หยุดกินน้ำตาลทราย เพราะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคต่างๆ

4.กินทุเรียน ช่วยรักษาโรคมะเร็ง และแก่ช้า

5.กินแตงโม ช่วยแก้เลือดอุดตัน ลิ่มเลือด และช่วยบำรุงเลือด ถ้าเป็นผู้ชาย จะทำให้สมถรรพภาพทางเพศแข็งแรง

6.สตรีกินสับปะรด ช่วยกระช้บช่องคลอด

7.กินกล้วยไข่ ช่วยบำรุง ตับ ไต ผิว ตา กระดูก (เหมาะสำหรับคนทำงานหน้าคอมส์) ทำให้หน้าอกโตด้วย

8.กล้วยน้ำว้านำไปเผาทั้งเปลือก ช่วยรักษา ปวดหัว ตัวร้อน และเบาหวาน

9.กล้วยหอม เด็กถ้ากินช่วยให้ความจำดี และสตรีวัยทองช่วยปรับฮอร์โมนให้กินกับน้ำมะพร้าวอ่อน จะดีมาก ช่วยรักษาโรคฮันจิสัน (สตรีถ้ากินมากจะเซ็กส์จัดนะ)

10.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ใช้กินและนวดหน้า นวดร่างกายทำให้ดูอ่อนกว่าวัย รักษา ฝ้า กระ ดีมาก เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นสารตั้งต้นของเครื่องสำอางค์ทุกชนิด

11.กินน้ำมันหมูดีที่สุดเพราะซ่อม
สร้างเนื้อเยื่อได้ ที่เหลือขับทิ้งได้
ไม่เหมือนน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธี
มีสารเคมีตกค้างมากมายมีอันตราย ต่อสุขภาพระยะยาวแน่นอน

12.กินหอมแดง,หอมใหญ่,กระเทียม และตามด้วยมะนาวฝานบางๆทั้งเปลือก2-3ชิ้นเพื่อดับกลิ่นเพื่อลดไขมันตัวร้ายในหลอดเลือดดีกว่ากินยาลดไขมันซึ่งมีผลข้างเคียงที่อันตรายมาก

ส่งต่อเป็นวิทยาทาน…นะพี่น้อง
ใครคือเพื่อน18คนที่คุณจะไม่สามารถลืมได้เลยในชีวิต? ส่งให้แค่18คนนั้น แล้วคอยดูว่าคุณเองได้กลับมาเท่าไหร่. เริ่มส่งได้! แค่18คนนะ! วันนี้เป็นวันเพื่อนนานาชาติ ส่งให้เพื่อนคนพิเศษของคุณ (รวมถึงส่งกลับมาให้ฉันด้วย ถ้าฉัน  คุณเป็นคนที่คนรักมากๆเลยนะ ถ้าคุณได้รับกลับมาอย่างน้อย5คน ลองดูเลย

ความรู้ใหม่..เข้าใจตรงกันโภชนาการบำบัดโรค

ขอให้อ่านให้จบติ๊ดนึง…

1.ดื่มน้ำร้อนปลอดทุกโรค

น้ำร้อน

2.กินไข่ลวกวันละสองฟอง ใส่พริกไทยดำตำเองหนึ่งช้อนชาจะห่างไกลจากอัลไซเมอร์ไม่ต้องไปหาหมอ

3.หยุดกินน้ำตาลทราย เพราะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคต่างๆ

4.กินทุเรียน ช่วยรักษาโรคมะเร็ง และแก่ช้า

5.กินแตงโม ช่วยแก้เลือดอุดตัน ลิ่มเลือด และช่วยบำรุงเลือด ถ้าเป็นผู้ชาย จะทำให้สมถรรพภาพทางเพศแข็งแรง

6.สตรีกินสับปะรด ช่วยกระช้บช่องคลอด

7.กินกล้วยไข่ ช่วยบำรุง ตับ ไต ผิว ตา กระดูก (เหมาะสำหรับคนทำงานหน้าคอมส์) ทำให้หน้าอกโตด้วย

8.กล้วยน้ำว้านำไปเผาทั้งเปลือก ช่วยรักษา ปวดหัว ตัวร้อน และเบาหวาน

9.กล้วยหอม เด็กถ้ากินช่วยให้ความจำดี และสตรีวัยทองช่วยปรับฮอร์โมนให้กินกับน้ำมะพร้าวอ่อน จะดีมาก ช่วยรักษาโรคฮันจิสัน (สตรีถ้ากินมากจะเซ็กส์จัดนะ)กินกล้วยเพื่อสุขภาพ

10.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ใช้กินและนวดหน้า นวดร่างกายทำให้ดูอ่อนกว่าวัย รักษา ฝ้า กระ ดีมาก เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นสารตั้งต้นของเครื่องสำอางค์ทุกชนิด

11.กินน้ำมันหมูดีที่สุดเพราะซ่อม
สร้างเนื้อเยื่อได้ ที่เหลือขับทิ้งได้
ไม่เหมือนน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธี
มีสารเคมีตกค้างมากมายมีอันตราย ต่อสุขภาพระยะยาวแน่นอน

12.กินหอมแดง,หอมใหญ่,กระเทียม และตามด้วยมะนาวฝานบางๆทั้งเปลือก2-3ชิ้นเพื่อดับกลิ่นเพื่อลดไขมันตัวร้ายในหลอดเลือดดีกว่ากินยาลดไขมันซึ่งมีผลข้างเคียงที่อันตรายมาก

ถั่งเช่า ช่วยเพิ่มสมรรถภาพ จริงหรือ?

ถั่งเช่า ถั่งเฉ้า เห็ดถั่งเช่า คืออะไร

ณ วันนี้คงไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยิน คำว่า “ถั่งเช่า” หรือ “ถั่งเฉ้า” สมุนไพรที่อ้างกันว่าช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ จริง ๆ แล้ว “ถั่งเช่า” คืออะไร มีสรรพคุณตามคำกล่าวอ้างเหล่านั้นหรือไม่? บทความนี้มีคำตอบ

เห็ดถั่วเฉ้า

“ถั่งเช่า” หรือที่รู้จักกันว่า “ไวอากร้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย” หรือ ตังถั่งเช่า หรือ ตังถั่งแห่เช่า แปลเป็นไทยว่า “ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า” หรือที่เรียกกันว่า “หญ้าหนอน” ทั้งนี้เพราะว่า ยาสมุนไพรชนิดนี้ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นตัวหนอน คือ ตัวหนอนของผีเสื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hepialus armoricanus Oberthiir และบนตัวหนอนมีเห็ดชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. หนอนชนิดนี้ในฤดูหนาวจะฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินภูเขาหิมะ เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย สปอร์เห็ดจะพัดไปกับน้ำแข็งที่ละลาย แล้วไปตกที่พื้นดิน จากนั้นตัวหนอนเหล่านี้ก็จะกินสปอร์ และเมื่อฤดูร้อนสปอร์ก็เริ่มเจริญเติบโตเป็นเส้นใยโดยอาศัยการดูดสารอาหารและแร่ธาตุจากตัวหนอนนั้น เส้นใยงอกออกจากท้องของตัวหนอน และงอกออกจากปากของมัน เห็ดเหล่านี้ต้องการแสงอาทิตย์มันจึงงอกขึ้นสู่พื้นดิน รูปลักษณะภายนอกคล้ายไม้กระบอก ส่วนตัวหนอนเองก็จะค่อย ๆ ตายไป อยู่ในลักษณะของหนอนตายซาก ฉะนั้น “ถั่งเช่า” ที่ใช้ทำเป็นยาก็คือ ตัวหนอนและเห็ดที่แห้งแล้วนั่นเองเห็ดถั่วเฉ้า 4

ถั่งเช่าพบได้ในแถบทุ่งหญ้าบนภูเขาประเทศจีน (ธิเบต) เนปาล และภูฏาน ระดับความสูง 10,000-12,000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยง ซึ่งส่วนใหญ่เพาะในบริเวณภาคใต้ในมณฑลชิงไห่ เขตซางโตวในธิเบต มณฑลเสฉวน ยูนนาน และกุ้ยโจว การเก็บถั่งเช่าจะเก็บในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อขุดตัวหนอนขึ้นจากดินแล้ว ล้างน้ำให้สะอาด แล้วตากแห้ง การเก็บรักษา ควรเก็บไว้ในที่แห้ง
“ถั่งเช่า” ถือได้ว่าเป็นยาสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศจีนนานนับศตวรรษ มีสรรพคุณทางยาแผนโบราณที่ใช้กันแพร่หลายในประเทศจีนในเรื่องของกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ และใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงอวัยวะภายใน เช่น ปอด ตับ และไต เป็นต้นเห็ดถั่วเฉ้า 3

องค์ประกอบทางเคมีของถั่งเช่า
ถั่งเช่าอุดมไปด้วยสารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ได้แก่ โพลีแซคคาไรด์ (galactomannan), นิวคลีโอไทด์ (adenosine, cordycepin), cordycepic acid, กรดอะมิโน และสเตอรอล (ergosterol, beta-sitosterol) นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารอาหารสำคัญอื่น ๆ เช่น โปรตีน วิตามินต่างๆ ( Vit E, K, B1, B2 และ B12) และแร่ธาตุต่าง ๆ (โพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และซิลิเนียม) เป็นต้นเห็ดถั่วเฉ้า 2

รายงานการวิจัยในคน
ถึงแม้ว่า “ถั่งเช่า” มีการใช้อย่างแพร่หลายและมีราคาสูง แต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาในคนอย่างเป็นระบบมีน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นกรณีศึกษาเท่านั้น ตัวอย่างเช่น
กรณีศึกษาฤทธิ์ต่อการกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ พบว่าการวิจัยในผู้ชาย 22 คน ใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริม พบว่าช่วยเพิ่มจำนวนของสเปิร์มในอสุจิได้ 33% และมีผลลดปริมาณของสเปิร์มที่ผิดปกติลง 29% และมีอีกกรณีศึกษาในผู้ป่วยทั้งชายและหญิง 189 คน ที่มีความต้องการทางเพศลดลง พบว่าถั่งเช่าสามารถช่วยทำให้อาการและความต้องการทางเพศสูงขึ้น 66% นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยสนับสนุนว่าการรับประทานถั่งเช่าจะช่วยปกป้องและช่วยให้การทำงานของต่อมหมวกไต ฮอร์โมนจากต่อมไทมัส และจำนวนของสเปิร์มที่สามารถปฏิสนธิได้เพิ่มขึ้น 300 % และช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศของผู้หญิงได้ 86%

  • กรณีศึกษาฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยทำการศึกษาในผู้ชาย 5 คน (อายุเฉลี่ย 35 ปี) ที่ถุงลมถูกกระตุ้นให้อักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่าถั่งเช่ามีฤทธิ์ลดการสร้างสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น interlukin-1beta (IL-1beta), interlukin-6 (IL-6), interleukin-8 (IL-8), interleukin-10 (IL-10) และ tumor necrosis factor-alpha (TNF-alpha) ได้ จึงส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น
  • กรณีศึกษาฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยการให้ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานถั่งเช่าปริมาณ 3 กรัม/วัน พบว่าสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 95% ในขณะที่กลุ่มที่รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้เพียง 54%
  • กรณีศึกษาฤทธิ์ต่อการฟื้นฟูระบบการทำงานของไต โดยให้ผู้ป่วยภาวะไตวายเรื้อรังรับประทานถั่งเช่าปริมาณ 3-5 กรัม/วัน พบว่าถั่งเช่าทำให้การทำงานของไตมีประสิทธิภาพดีขึ้น และพบว่าหลังจากให้ผู้ป่วยรับประทานถั่งเช่าต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน 1 เดือน สามารถช่วยลดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกิดจากภาวะไตวาย ได้แก่ ลดความดันโลหิต ลดระดับโปรตีนในปัสสาวะ ลดการเกิดภาวะโลหิตจาง และช่วยเพิ่มเอนไซม์ superoxide dismutase (SOD) ซึ่งป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีรายงานว่าการให้ผู้ป่วยที่การทำงานของไตบกพร่องจากการใช้ยา gentamicin รับประทานถั่งเช่า 4.5 กรัม/วัน มีผลทำให้ระบบการทำงานของไตดีขึ้นเป็นปกติ 89 % เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมหลังจากรับประทานถั่งเช่าภายใน 6 วัน

การศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
เป็นการทดลองในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง พบว่าถั่งเช่ามีฤทธิ์ปรับสมดุลของร่างกาย กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านมะเร็ง ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านการอักเสบ และกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้นเห็ดถั่วเฉ้า 1

ข้อควรระวัง

  1. ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากถั่งเช่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ จะไปเสริมฤทธิ์กับยาลดน้ำตาลในเลือด
  2. ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยที่ได้รับยากลุ่มป้องกันการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด เนื่องจากถั่งเช่ามีฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด
  3. ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressive) ทั้งนี้เพราะว่าถั่งเช่ามีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

“ถั่งเช่า” ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรสุดฮิตในปัจจุบัน เป็นการใช้ตามสรรพคุณของภูมิปัญญาที่มีมานานกว่าศตวรรษ แต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะการศึกษาทางคลินิกยังมีน้อย ฉะนั้นการใช้ถั่งเช่าจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะ ถั่งเช่ามีราคาสูงมาก ทั้งนี้ยังพบว่าในท้องตลาดมีถั่งเช่าหลายระดับคุณภาพมาก ตามภูมิปัญญาของจีนมีการจัดคุณภาพของถั่งเช่าเป็น 3 ระ ดับ ระดับที่ดีที่สุด ความยาวของตัวเห็ดจะเท่ากับความยาวของตัวหนอน (ประมาณ 3-4 เซนติเมตร) ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงเห็ดถั่งเช่าสีทองซึ่งเป็นเห็ดสกุลเดียวกับตังถั่งเช่า (Cordyceps) แต่คนละชนิด (species) และมีการกล่าวอ้างว่ามีคุณภาพดีกว่าตังถั่งเช่า ซึ่งจะต้องมีการศึกษาพิสูจน์ต่อไป นอกจากนี้ขนาดบริโภคของผู้ใหญ่ (อายุมากกว่า 18 ปี) ในแต่ละวัน ประมาณ 3-9 กรัม ชงกับน้ำร้อน หรือประกอบอาหาร ขนาดการใช้ที่มากเกินไปอาจจะก่อเกิดผลเสียได้ การใช้ในหญิงมีครรภ์ หญิงในนมบุตร และในเด็ก ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ และห้ามใช้ในคนที่แพ้เห็ด Cordyceps ผู้ป่วยที่มีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และผู้ป่วยที่มีการเต้นของหัวใจผิดปกติ ฉะนั้นจึงควรระมัดระวังในการใช้และควรมีการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการใช้ถั่งเช่าในการรักษาโรคเพื่อความปลอดภัยและให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค

ที่มา : http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/

ផ្ទី-ผักขม ภาษาเขมรวันละคำ រៀនភាសាថៃ

image

ภาษาเขมร : ផ្ទី
อ่านว่า : พฺตี
แปลว่า : ผักขม หรือ ผักโขม
អានថា : ផៈក៍ ឃ៎ម់ ឬ៎ ផៈក៍ឃោម
ภาษาอังกฤษ : Amaranthus lividus 

ตัวอย่าง : ផ្ទីប៉ូវឈាម។
อ่านว่า :
អានត-อ่านต่อ

3 ท่า ช่วยรักษาโรคได้

ลองทำดู อาจไม่ต้อง กินยาแล้วก็ได้
ลองทำ 3 ท่านี้ดูช่วยทั้ง เบาหวาน ความดัน ระบบทางเดินอาหาร ระบบขับถ่าย โรคปวดหลัง ปวดเข่า
ทั้งหมดนี้เป็นผลงาน วิจัยของอาจารย์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ง่ายๆ เริ่มทำทันทีนะ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง
สอนเป็นวิทยาทานต่อ
ได้บุญอย่างยอดเยี่ยม

สาระดีๆ สำหรับคนที่กินแล้วไม่ค่อยขับถ่าย

image

สาระดีๆ สำหรับคนที่กินแล้วไม่ค่อยขับถ่าย อนาคต..
มะเร็งลำไส้..! “ตะลึง”
….คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระ
ตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ บางศพมีน้ำหนักอุจจาระถึง
10 โล… แล้วเป็นเพราะอะไร???

เค๊าว่า “อุจจาระตกค้าง” เนื่องมาจาก
1. เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
2. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบทำให้น้ำที่
ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 เช้า

หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า
ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบนเวลาถ่าย
จะถ่ายไม่หมด แต่ไม่รู้ตัว ที่ปลายลำไส้จะมีประสาท
ปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวพอมาจ่อปลายทวาร ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมองให้ปวดอึหลัง 7 โมง
เช้า ลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ บีบอุจจาระให้ขาด
ช่วงเวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว เราก็หยุดแต่ความจริง อุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออก แต่มันถูกดันกลับขึ้นไป ไม่มาจ่อปลายทวารทำให้เราไม่ปวดอึ เราก็นึกว่าหมด
แล้ว อุจจาระที่ค้างไว้นี้ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้ พอมี
ีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่ามันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่
สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ค้างแข็ง
ไว้ ก็เกาะติดแน่น

ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลวพอ
ส่วนที่เหลือ ก็เกาะไปเรื่อยๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับ
เส้นเลือดต่างๆ ในกระเพาะ และกดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมายเช่นท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัวอ่อนเพลีย
นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และอื่น ๆ

นั่นแหละเป็นที่มา..ที่คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า
เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ

การนำอุจจาระตกค้างออกจึงจำเป็นต้องหาว่า
เป็นที่สาเหตุใดใน 5 สาเหตุข้างต้น
แต่ถ้าสามารถได้รับการตรวจด้วยลูกดิ่ง
เพนดูลั่มก็จะรู้ได้

สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางมา
ให้ตรวจ ก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสียก่อน แล้ว ลองสูตร
อาหารดังต่อไปนี้

1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว
ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระ
ตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวันหรือ 3-4วัน
ต่อสัปดาห์ แล้วแต่จะชอบ

2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ
500 มิลลิลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมง
เช้า ช่วงแรกควรทานติดกัน 3 วัน หากถ่ายก่อน 7 โมง
เช้าเป็นปกติได้แล้ว ก็ลดมาเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือ
ตามที่เห็นสมควร

3. ทานผักบุ้ง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออก
มา /เรื่องดีมีประโยชน์ต้องแบ่งปัน….
รักใครช่วยส่งต่อให้เค้าสัก 9 คน จะได้บุญมากๆ จ้า

สมอไทย สมุนไพรจากธรรมชาติ

สมอไทย

สมอไทย

สมอไทย เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนคงรู้จักกันเป็นอย่างดี ผล สามารถนำมารับประทานได้ นอกจากนี้สมอ ยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย ก่อนจะไปดูสรรพคุณเรามีดูรายละเอียดของสมอกันก่อน

ชื่อสมุนไพร    สมอไทย
ชื่ออื่นๆ    สมอ (นครราชสีมา) ม่าแน่ (เชียงใหม่) สมอไทย สมออัพยา (ภาคกลาง) หมากแน่ะ (แม่ฮ่องสอน) มะน่ะ หมากนะ ส้มมอ
ชื่อวิทยาศาสตร์    Terminalia chebula Retz.
ชื่อพ้อง    Terminalia parviflora Thwaites, T. tomentella Kurz
ชื่อวงศ์     Combretaceae

สรรพคุณของสมอไทย
ตำรายาไทยใช้ ผล รสเปรี้ยวฝาด ขมชุ่ม เป็นยาสุขุม ผลอ่อนจะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย และสมานลำไส้ ผลแก่จะมีฤทธิ์ฝาดสมาน นอกจากนี้ยังใช้อมกลั้วคอแก้เจ็บคอ ออกฤทธิ์ต่อปอด กระเพาะ และลำไส้ ใช้เป็นยาสมานลำไส้ ห้ามเลือดทั้งภายในและภายนอก เป็นยาละลายเสมหะ ขับเสมหะ ทำให้ปอดชุ่มชื่น แก้หลอดลมอักเสบ คออักเสบ เสียงแหบ แก้ไอ ลิ้นไก่อักเสบ แก้ลำไส้อักเสบเรื้อรัง แก้ท้องผูก โรคท้องมาน แก้ท้องร่วงเรื้อรัง ถ่ายเป็นเลือด ริดสีดวงทวาร เลือดออก สมานแผลในลำไส้ แก้ท้องเสีย เป็นยาระบายรู้ถ่ายรู้ปิด แก้บิดเรื้อรัง แก้กามเคลื่อน แก้สตรีตกเลือด ปัสสาวะบ่อย และเป็นยาเจริญอาหาร    เป็นยาระบาย แก้ปวดท้อง เป็นยาบำรุง แก้เจ็บคอ ขับน้ำเหลืองเสีย นำผลมาบดละเอียดโรยแผลเรื้อรัง แก้ลมจุกเสียด ช่วยเจริญอาหาร เนื้อหุ้มเมล็ด แก้ท้องผูก แก้บิด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาโรคเกี่ยวกับน้ำดี ตับม้ามโต โรคท้องมาน อาเจียน อาการสะอึก โรคหืด และท้องร่วงเรื้อรัง เปลือกต้น ขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ ขับน้ำเหลืองเสีย เปลือกต้นและแก่น แก้ท้องเสีย ทั้งต้น ขับเสมหะ แก้เสียวคอ แก้ท้องผูก เป็นยาฝาดสมาน ดอก รักษาโรคบิด

ที่มา : สมุนไพรไทย

คาถาอายุยืน

image

๑ ดื่มน้ำเป็นยา
๒.กินปลาเป็นหลัก
๓.กินผักเกินครึ่ง
๔.ไข่ไก่ฟองหนึ่ง
๕. อย่าพึ่งกาแฟ
๖.อย่าแก่ของเค็ม
๗.อย่าเข้มของหวาน
๘.อย่าทานของทอด
๙.อย่ากอดแต่เหล้า
๑๐.อย่าเฝ้าสูดควัน
๑๑.สุริยันต์วันทา
๑๒.เริงร่าออกกำลังกาย
๑๓.ยืดเส้นสายเป็นนิจ
๑๔.สมาธิจิตประจำ
๑๕.สำคัญ”ปล่อยวาง”
ปฏิบัติได้ครบครัน รับรองสุขสันต์ปลอดโรคนะจ๊ะ
ღ(•‿•)ღ…..ღ(•‿•)ღ
.._/█\_…….._/█\_
__-∫.∫-_______-∫.∫-__
¸.•´¸.•*´¨) ¸.•*¨)
(¸.•´ (¸.•` วันนี้ยิ้มยัง

ดาวกระจาย ดอกไม้แห่งจินตนาการ

ไม้ดอกชนิดหนึ่งบนพื้นโลกได้รับการเรียกขาน เป็นชื่อของดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้นขอบฟ้า ไม้ดอกที่กล่าวถึงนั้นคือ ดาวกระจาย

ดาวกระจาย : ความงามจากอีกฟากโลก
ดาวกระจายมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cosmos lipin-natas Cav. อยู่ในวงศ์ Compositae เป็นไม้ล้มลุกเนื้ออ่อน ลำต้นสูงราว 1 เมตร
ใบ ออกตามลำต้น โดยจะออกตรงข้ามกันไป ลักษณะใบเป็นเส้นเล็กๆ ตามเส้นใบ
ดอก เป็นดอกเดี่ยว อยู่บนก้านยาว ออกเป็น กลุ่มๆ กระจายออกไปเป็นทรงพุ่ม แต่ละดอกมีกลีบดอก 8 กลีบ ส่วนใหญ่เป็นกลีบชั้นเดียว ปลายกลีบดอกเป็นซี่หยัก ดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 5 เซนติเมตร
กลีบดอกดาวกระจายปกติมีสีเหลือง แต่ปัจจุบันดาวกระจายพันธุ์ใหม่ๆ มีกลีบดอกสีต่างๆ มากมาย เช่น ขาว ชมพู แดง ม่วง แสด และสีเหลือง ขนาดของลำต้นก็มีขนาดต่างๆ กัน ทั้งเล็กลงและใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

ดาวกระจายมีถิ่นดั้งเดิมอยู่ในเขตร้อนของทวีปอเมริกา โดยเฉพาะประเทศเม็กซิโก แล้วจึงกระจายไปทั่วโลก สำหรับประเทศไทยไม่มีบันทึกว่าเริ่มปลูกดาวกระจายครั้งแรกเมื่อใด แต่คงหลังปี พ.ศ.2416 เพราะไม่มีชื่อในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ ปีพ.ศ. 2416

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับดาวกระจายก็คือ ชื่อทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย มีความหมายคล้ายคลึงกัน และแสดงถึงจินตนาการอันกว้างไกล กล่าวคือ ชื่อสกุลของดาวกระจาย (COSMOS) นั้น หมายถึงจักรวาล และดวงดาวทั้งหมดบนฟากฟ้า ส่วนในภาษาไทย ดาวกระจายนั้น หนังสืออักขราภิธานศรับท์ให้ความหมายไว้ว่า “คือดวงดาวทั้งปวง ที่ขึ้นรายเรียงกันเกลื่อนกลาด กระจายไปนั้น”Ž

จากความหมายทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย จะมองเห็นจินตนาการของมนุษย์ เมื่อมองเห็นดอก ดาวกระจายบานไสวอยู่เต็มต้น เป็นเอกลักษณ์ที่ต่างจากไม้ดอกชนิดอื่นๆ อย่างชัดเจน

ดาวกระจายเป็นไม้ดอกที่ชอบกลางแจ้ง แดดจัด ปลูกง่าย โตเร็ว ขยายพันธุ์โดยเมล็ด เป็นไม้ดอกที่ปรับตัวเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศของเมืองไทยได้ดียิ่งขึ้นชนิดหนึ่ง จนอาจนำเมล็ดไปหว่านลงบนพื้นดินได้ โดยไม่ต้องไถพรวนใดๆ เลยก็ได้

เมื่อมีความชื้นพอเหมาะเมล็ดก็จะงอกงามแข่งกับวัชพืชต่างๆ ได้เองโดยไม่ต้องเข้าไปดูแลช่วยเหลือ และเมื่อดาวกระจายออกดอกติดเมล็ดและร่วงลงบนพื้นดิน ก็จะสามารถงอกขึ้นใหม่ได้เองอีกในปีต่อไป

ที่มา : หมอชาวบ้าน

ผู้สูงอายุออกกำลังกายอะไรบ้าง

10646870_10152725204937028_8947771415602651182_n[1]

การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุมีหลาย ชนิดดังนี้
1. การเดิน เป็นวิธีการออกกำลังที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ พยายามเดินบริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์ ปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย และอุบัติเหตุ มีเพื่อนหรือกลุ่มร่วมในการเดิน จะช่วยให้เกิดความสนุกสนานยิ่งขึ้น
2. การวิ่งช้าๆ การวิ่งจะมีช่วงใดช่วงหนึ่งที่เท้าไม่แตะพื้น ผู้สูงอายุถ้าสามารถวิ่งได้ก็ไม่มีข้อห้ามที่จะไม่ให้วิ่ง แต่จะต้องมีข้อเท้าที่ดี รวมถึงการสวมใส่รองเท้าที่เหมาะสม
3. กายบริหารท่าต่างๆ เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ แต่ควรจะต้องบริหารให้เกิดผลถึงระดับหัวใจเต้นเพิ่มขึ้น
4. การรำมวยจีน หลักการของการรำมวยจีนคือ การเคลื่อนไหวช้าๆ แต่ใช้เวลาและสมาธิด้วย เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ
5. โยคะ การฝึกโยคะเป็นการออกกำลังผสมกับควบคุมการหายใจให้เข้าจังหวะกัน ต้องมีครูฝึกที่รู้จริง ถ้าปฏิบัติอย่างจริงจังก็ให้ประโยชน์สูง
6. ชนิดของการออกกำลังมีมากมายรวมทั้งกีฬาชนิดต่างๆ ทุกอย่าง ที่ตัวชอบและเหมาะกับสถานภาพ

ที่มา มูลนิธิหมอชาวบ้าน

โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder : OCD)

โรคย้ำคิดย้ำทำ มีลักษณะสำคัญ 2 ประการ ได้แก่

          อาการย้ำคิด (obsessive) : การมีความคิดหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองซ้ำๆ โดยไร้เหตุผล ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลใจ ความไม่สบายใจอย่างมาก และผู้ป่วยรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ตนไม่สบายใจ (ego-dystonic) เช่น คิดซ้ำๆ ว่าจะทำร้ายหรือทำสิ่งไม่ดีกับคนที่ตนรัก คิดซ้ำๆ ว่าลบหลู่หรือด่าว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คิดซ้ำๆ ว่าลืมปิดแก๊สหรือลืมล๊อคประตู เป็นต้น โดยผู้ป่วยเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุจึงเกิดความคิดเช่นนั้น

          อาการย้ำทำ (Compulsive) : การกระทำอย่างมีเป้าหมายชัดเจนซ้ำๆ เพื่อป้องกันหรือช่วยลดความไม่สบายใจจากความย้ำคิดข้างต้นและเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผล เช่น เซ็คลูกบิดประตูหรือวาล์วแก๊สซ้ำๆ เพื่อให้แน่ใจว่าปิดเรียบร้อยแล้ว ล้างมือซ้ำ เพราะคิดว่ามือสกปรก เป็นต้น

អានត-อ่านต่อ