ต้องอ่านนะครับ ของดี ถ้ายังรักตัวเอง

โดย อาจารย์ ไกร มาศพิมล (นักโภชนาการบำบัด)

ความดัน บน ล่าง
อายุ <30 110 70
อายุ 50 130 85
อายุ 60 140 90

จิบน้ำร้อน บ่อยๆ ช่วยปรับสมดุลย์ ความดันเลือด, ลดเส้นเลือดสมองตีบ, เบาหวาน, ต้อที่ตา, ไต

จิบน้ำร้อน 1 ถ้วยกาแฟ หรือ 250 CC ก่อนอาหาร ลดความอ้วน

การดื่มน้ำเย็นครั้งละมาก ๆ จะมีผลให้น้ำซึมเข้าสู่สมอง ซึ่งเป็นเหตุของการเกิดภาวะสมองบวมน้ำ

เบาหวาน กิน น้ำตาลธรรมชาติได้ น้ำตาลฟรุตโตส, น้ำตาลปี๊ป (น้ำตาลปึก), โอวทึ้ง, น้ำผึ้ง
หยุด น้ำตาลกรวด, น้ำตาลทรายแดง, น้ำตาลทราย, ซูโครส

น้ำตาลทราย/น้ำตาลกรวด
จะสะสมที่ตับเป็นไขมัน ก่อให้เกิดไตรกลีเซอร์ไรด์
สำหรับน้ำตาลที่ฟอกขาวจะใช้สารคลอลีน ซึ่งมีสารก่อมะเร็ง

ทุเรียน
มี Anti – Oxidant, กำมะถัน (งด ข้าว) ช่วยลดมะเร็ง, ลดคลอเรสเตอรอล, ลดอ้วน, ลดไขมัน, ต้านแก่

น้ำแตงโม = ไวอาก้า ธรรมชาติ บำรุงเลือด, ละลายลิ่มเลือด ช่วยมือเท้าชา

แกนสับปะรด
มีสารบอบิเรน ลดมะเร็งปากมดลูก โดยให้ดูดแต่น้ำ แล้วคายกากทิ้ง

กล้วยไข่
หยุดผมร่วง, ป้องกันอัลไซเมอร์, บำรุงสมอง, บำรุงตับ ไต, ป้องกันมะเร็ง, บำรุงกระดูก, บำรุงสายตา, รักษา Office Syndrome

กล้วยน้ำว้า
วันละ 2 ลูก เหมือนๆ กล้วยหักมุก ปิ้งไฟทั้งเปลือก ลดไข้, ลดเจ็บคอ, บำรุงตับอ่อน, รักษาเบาหวาน, แก้ทอนซิลอักเสบ

กล้วยหอม
(กล้วยเล็บมือนาง) 3 ผล / สัปดาห์ เป็น ฮอร์โมนหญิง มีโปแทสเซียม ป้องกันโรคพากินสัน และ อัลไซเมอร์, บำรุงสมอง, ป้องกันสมาธิสั้น

น้ำมะพร้าวอ่อน
ปรับสมดุลย์ ฮอร์โมน
ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนวันละ 1 ลูก ช่วยฟอกเลือด และบำรุงไต ส่วนเนื้อมะพร้าวช่วยบำรุงตับ

กะทิ
ลด Cholesterol, ไม่อ้วน, ไม่เบาหวาน,

น้ำมันมะพร้าว
ช่วยลดความอ้วน โดยกินก่อนอาหารเช้า 4 ช้อนกาแฟ
ใช้เป็น Hair Serum ลงหนังหัว, ลดหงอก, เพิ่มผม ใช้ล้างเครื่องสำอาง ใช้เป็นเดย์ครีม ไนท์ครีมได้
มี SPF 90 (Sun block)

Oil Pulling
ใช้น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว น้ำมันทานตะวัน ที่ผ่านกรรมวิธีแบบหีบเย็น ปริมาณ 2 ช้อน อมไว้ประมาณ 15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง จะช่วยนำเชื้อโรคออกจากช่องปาก

หยุด น้ำมันพืช
เนื่องจากมีส่วนผสมของสารเคมี เมื่อน้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 60 องศา จะเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ควรบริโภคมะพร้าว น้ำมันหมู น้ำมันไก่
ตับจะทำหน้าที่ผลิต Cholesterol โดยที่ Cholesterol LDL จะช่วยป้องกันผิวหนัง และผลิต Cholesterol HDL เพื่อดักจับ LDL ไปทิ้ง

การทำน้ำมันหมู
นำน้ำมันหมูเปลว 1 ก.ก. กับเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ เจียวบนกระทะ จะทำให้ไม่ติดกระทะ ไม่กระเด็น ได้น้ำมันเกือบ 2 ลิตร กากหมูจะกรอบมาก เนื่องจากเกลือจะเป็นตัวช่วยดึงน้ำมันออกมาจนหมด

น้ำมันมะพร้าว
นำกะทิใส่ถุงแช่ตู้เย็น 3 ช.ม. เพื่อให้เนื้อกับน้ำแยกตัวกัน นำเนื้อมะพร้าวส่วนบนไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน เก็บไว้ใช้ได้ไม่เกิน 3 เดือน

การสระผม
ควรสระผมด้วยสบู่เด็ก ควรสระผมช่วงเช้า ไม่ควรสระผมตอนเย็น เพราะผมจะไม่สามารถแห้งได้ทัน เวลานอนจะเกิดเชื้อรากลางคืน เป็นเหตุของอาการคันศีรษะ และ ลงน้ำมันมะพร้าวที่หนังหัว

เกลือ
การบริโภคเกลือ(เกลือทะเล เกลือเม็ด) ไม่ได้ทำให้ไตวาย แต่เนื่องจากในอุตสาหกรรมการผลิตเกลือที่ขาวละเอียดมีการเติมโพลิเมอร์ โดยหยดลงบนเกลือ ทำให้โครงสร้างจากเดิมโซเดียมคลอไรด์เปลี่ยนเป็นโซเดียมซัลเฟต ซึ่งมีผลต่อไต เพราะไม่สามารถขับออกได้ ซึ่งเกลือชนิดนี้จะโรยบนอาหารแล้วยังคงทำให้อาหารกรอบ แต่ถ้าเป็นเกลือที่เป็นโซเดียมคลอไรด์นั้น จะมีคุณสมบัติดูดความชื้นทำให้อาหารไม่คงความกรอบ

ไมโครเวฟ
การใช้ไมโครเวฟ ระวังมะเร็ง เนื่องจากมีการกระจายคลื่นเข้าสู่เซลมีผลทำให้ตายได้

ตะไคร้แกง
นำมาหั่นแล้วต้มเป็นน้ำตะไคร้ ดื่มเพื่อช่วยลดเบาหวาน

กาแฟ
มีคาเฟอีน มีไว้ดม ไม่ควรกิน เพราะจะมีผลยับยั้งไม่ให้แคลเซียมไปเกาะกระดูก จึงมีโอกาสเป็นโรค กระดูกผุ กระตุ้นเซลมะเร็ง

ไข่
ไข่ต้ม ไข่เค็ม ไข่พะโล้ โดยเฉพาะไข่แดง หากกินวันละ 2 ฟอง จะช่วยลดน้ำตาลในเลือด (ลดเบาหวาน) เนื่องจากไข่แดงมีซิลิเนียม
งานวิจัยของฮาวาร์ด พบว่าหากบริโภคไข่วันละ 3 ฟอง (อายุต่ำกว่า 45 ปี) ; บริโภควันละ 2 ฟอง (อายุ 45 ปี – 50 ปี) และบริโภควันละ 1 ฟอง (อายุเกิน 50 ปี)
ไข่ต้ม 1 ฟอง มีสรรพคุณสูงกว่านม 5 กล่อง

การออกกำลังกาย
ควรออกกำลังกายทุกวัน ออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ เช่น
1. การขยับนิ้วมือ เป็นการช่วยเรื่องน้ำในข้อ ผลที่ได้กระดูกจะไม่ผุ
2. งอนิ้วมือ ช่วยในเรื่องของอาการนิ้วล็อค
3. กำมือและแบมือสลับข้างกันไปมา ช่วยในเรื่องของโรคหัวใจ และลด Cholesterol
4. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ และขยับเท้ายกขึ้นทำท่าวิ่งบนอากาศ
5. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ ทุบขาด้านนอก และด้านใน ทุบแขน สลับกันไป
6. การนั่งตรง ๆ นั่งแค่ครึ่งเก้าอี้ ประมาณ 10 นาที ช่วยป้องกันในเรื่องของ
ริดสีดวงทวาร
7. กำมือขวาหมุนเป็นวงกลมออกนอกตัว และกำมือซ้ายหมุนเป็นวงกลมเข้าหาตัว
เป็นการบริหารสมองทั้ง 2 ซีก
8. มือประสานกันสองข้าง ยืดตรงไปข้างหน้า เท้าห่างกันประมาณช่วงไหล มองตรง แล้วหมุนเอวไปรอบ ๆ ทั้งด้านซ้าย และขวา ครั้งละ 5 รอบ ทำตอนเช้า จะช่วยลดส่วนเกินตรงหน้าท้อง(Moon attracted)

ของฝากจาก
ดร.วิชัย เกียรติสามิภักดิ์

❤ กรุณาส่งต่อเพื่อนๆที่เรารักด้วย-ขอบคุณ❤
#เรื่องสุขภาพสำคัญ
#ชีวิตต้องมีวันพรุ่งนี้
#เรื่องดีๆเลยต้องบอกต่อ

ตะเกียบฟอกขาว ผู้ป่วยโรคหืด ภูมิแพ้ เสี่ยงสุด

ตะเกียบเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับประทานอาหารในประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม ส่วนประเทศไทยนิยมใช้สำหรับอาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว ตะเกียบอาจทำมาจากไม้ หรือโลหะหรือพลาสติก แต่ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบันเป็นตะเกียบไม้ ซึ่งไม้ที่นิยมนำมาทำตะเกียบ คือไม้ไผ่ ไม้โมกข์ และ ไม้ฉำฉา เนื่องจากมีสีขาว เนื้อละเอียด ไม่ทำให้อาหารมี สี กลิ่น รส ผิดเพี้ยนไป แต่รู้หรือไม่ ตะเกียบพวกนี้อาจมีสารอันตราย!

นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตือนว่า สารดังกล่าว คือ สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เพื่อฟอกเนื้อไม้ให้ขาวและป้องกันเชื้อรา ปัจจุบันร้านอาหารนิยมใช้ตะเกียบไม้แบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เพื่อความสะดวกและเพื่อสุขอนามัยที่ดีและป้องกันเชื้อโรคติดต่อระหว่างกันได้ ทั้งนี้เคยมีข่าวที่ประเทศไต้หวันตรวจพบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างในตะเกียบ เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งประเทศไต้หวันได้กำหนดปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในตะเกียบไม่เกิน 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulphur dioxide) เป็นสารเคมีในกลุ่มซัลไฟต์หรือที่รู้จักกันว่าสารฟอกขาวที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเปลี่ยนสีของอาหารไม่ให้เป็นสีน้ำตาลเมื่ออาหารถูกความร้อนในกระบวนการผลิตและสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของยีสต์ ราและบักเตรีได้ดี สามารถนำสารนี้ไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อเป็นวัตถุกันเสีย และเป็นสารป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอาหาร ผักผลไม้อบแห้ง วุ้นเส้นและ ลูกกวาด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้สารนี้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น นำไปใช้ผสมในน้ำยาอัดรูป ฟอกสีผ้า กระดาษและสบู่ เป็นต้น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคเมื่อใช้ในปริมาณต่ำ แต่จะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคที่แพ้ง่าย เช่น ทำให้เกิดโรคหืด มีอาการแน่นหน้าอก คันคอ หรือเป็นผื่นคัน และเป็นแผลพุพอง องค์การอนามัยโลกได้กำหนดค่าการบริโภคในแต่ละวันที่ได้รับหรือค่า ADI ของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ไม่เกิน 0.7 มิลลิกรัมต่อคนต่อวัน

นพ.อภิชัย กล่าวว่า ในปี 2548 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ได้เก็บตัวอย่างตะเกียบไม้แบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ 11 ตัวอย่าง ตรวจวิเคราะห์ โดยชุดทดสอบภาคสนาม ไม่พบสารฟอกขาวซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ต่อมาในปี 2550 ได้สุ่มตรวจตะเกียบ 8 ตัวอย่าง และไม้จิ้มฟัน 2 ตัวอย่าง ตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ตรวจพบซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในตะเกียบทั้ง 8 ตัวอย่าง ปริมาณที่พบอยู่ในช่วง 19.4- 256.2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ส่วนไม้จิ้มฟันตรวจพบ 1 ตัวอย่าง ปริมาณที่พบ 4.2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เมื่อทดสอบการละลายของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ออกมาจากตะเกียบโดยการนำมาแช่ในน้ำเดือดเป็นเวลา 5 นาทีแล้วนำน้ำมาตรวจวิเคราะห์พบซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ละลายออกมาอยู่ในช่วง 2-91.2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ประเทศไทยไม่มีกฎหมายกำหนดเรื่องปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ตกค้างในตะเกียบ แต่เมื่อเทียบกับกฎหมายของประเทศไต้หวันพบว่าปริมาณที่พบไม่เกินมาตรฐาน

ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กำลังดำเนินการตรวจการตกค้างของสารฟอกขาวในตะเกียบซ้ำอีกครั้งในช่วงเดือนเมษายน 2559 นี้ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากสถานที่จำหน่ายทั้งตลาดสด ตลาดค้าส่ง และค้าปลีก ตรวจวิเคราะห์สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ในตะเกียบ เพื่อให้ทราบสถานการณ์ที่เป็นปัจจุบัน สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำการเฝ้าระวังได้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคเมื่อใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากร่างกายสามารถขับออกทางปัสสาวะได้ แต่จะมีผลกระทบต่อคนที่เป็นโรคหอบหืดหรือคนที่แพ้ง่ายจะมีอาการทันที ดังนั้น ผู้บริโภคที่ใช้ตะเกียบในการบริโภคอาหาร จึงควรสังเกตหากพบว่าตะเกียบมีเนื้อไม้ขาวจัดและมีกลิ่นฉุนก็ไม่ควรใช้หรืออาจไปใช้ตะเกียบแบบใช้ซ้ำได้ ซึ่งสามารถล้างให้สะอาดได้ก่อนใช้

ร้ายกว่านั้น เราชาวไทยขาดไม่ได้ ต้องใช้กันทุกวันในการรับประทานอาหาร หรือคีบอะไรสักอย่างเข้าปาก ถามว่ามีใครเคยรู้ไหมว่าวิธีการผลิต ตะเกียบ นั้นเป็นอย่างไร ไปชมขั้นตอนการผลิตตะเกียบจากบริษัทแห่งหนึ่งของประเทศเพื่อนบ้าน เรามาชมกันเลยดีกว่าครับ

จาก: มติชนออนไลน์ และภาพจากกูเกิ้ล

นวดมือบำบัดโรคไม่ต้องพึ่งยา

“นวดมือบำบัดโรคไม่ต้องพึ่งยา
สามารถช่วยบำบัดโรคได้ 8 ชนิด ได้แก่

1. แก้ปวดหัว : กดจุดที่อยู่ระหว่างหัวแม่มือและนิ้วชี้บรรจบกันเยื้องมายังกระดูกนิ้วหัวแม่มือด้านนอก

2.คลายหงุดหงิด : คว่ำมือแล้วกดบริเวณร่องระหว่างข้อนิ้วนางกับนิ้วก้อย

3.เพิ่มพลังสมอง : ใช้นิ้วหัวแม่มือของอีกข้างกดจุดที่บริเวณปลายนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อยทำจนครบ 50 รอบต่อวัน

4.บรรเทาหวัด : กดจุดที่อยู่บริเวณใต้เล็บนิ้วหัวแม่มือ

5.แก้ปวดหลัง : กดจุดที่อยู่ใต้ฝ่ามือด้านนิ้วหัวแม่มือบริเวณที่ใช้จับชีพจร

6.แก้ไอ : ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้กดบีบบริเวณโคนนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ค้างไว้นาน 5-10 นาที

7.ลดท้องผูก : กดจุดที่อยู่บริเวณรอยพับข้อมือใต้นิ้วก้อยติดกับปุ่มกระดูก

8.กระตุ้นการย่อย : ใช้นิ้วหัวแม่มือขวากดคลึงตรงจุดตัดของโคนนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ มือซ้ายนิ้วชี้และนิ้วกลางขวา กึ่งประคองกึ่งกดด้านหลังมือเอาไว้

ขอขอบคุณ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.
จัดทำอินโฟกราฟฟิกแนะนำวิธีการนวดมือเพื่อบำบัดโรค รักษาอาการปวดเบื้องต้นโดยไม่ต้องใช้ยารักษา

ที่มา ไลน์ #healthyclub?

​ความดันโลหิตสูง ภัยเงียบที่ต้องระวัง

เป็นที่ทราบกันดีว่าหากวัดระดับความดันโลหิตแล้วปรากฎว่าสูงกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอท นั่นแสดงว่าคุณตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง ซึ่งจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้มากมาย แม้ว่าคนที่เป็นความดันโลหิตสูงอาจจะไม่มีการแสดงอาการใดๆ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาจะทำให้ អានត-อ่านต่อ

​สมุนไพรสามประสานบำรุงหัวใจ

ตำรับยาสมุนไพรกระเจี๊ยบ-พุทราจีน-เตยหอม สูตรตำรับเดียวตามตำราแพทย์แผนไทย ที่ใช้ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหลอดเลือดสมองตีบ 
 1. กระเจี๊ยบแดง 

นอกจากมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับนิ่วในไต และในระบบทางเดินปัสสาวะแล้ว ยังมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือด และรักษาโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งลดความเหนียวข้นของเลือดลง ทำให้การไหลเวียนของโลหิตทั่วร่างกายดีขึ้น ซึ่งก็ช่วยรักษาเส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้ด้วย

 2. พุทราจีนสุก 

ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงร่างกาย บำรุงประสาท แก้โรคนอนไม่หลับ นอกจากนี้ ยังอุดมด้วย អានត-อ่านต่อ

​ทำไม ? ถึง ไม่ควรใช้น้ำเกลือมาล้างผัก

ถ้าพูดถึงเกลือ ก็คงนึกถึง ความเค็ม ที่เต็มไปด้วยสารพัดประโยชน์ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับอาหาร หรือไม่ได้เกี่ยวกับอาหาร ก็ตาม เกลือถูกนำไปใช้กันอย่างหลากหลาย แต่ก็อย่าลืมนะคะว่าสิ่งที่มีประโยชน์ก็ยังทำให้เกิดโทษ เราจะมาดูโทษของเกลือ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ ที่บางครั้งถูกมองข้ามไปนะคะ การล้างผัก บางคนเข้าใจผิดว่าเกลือ สามารถลดสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผักได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะคะ เพราะว่าเกลือเป็น “โซเดียมคลอไรด์” ที่มีส่วนทำให้สารตกค้างอย่างยาฆ่าแมลงนั้นคงทนยิ่งขึ้น ทำให้มันยังตกค้างอยู่ในผักและผลไม้ อย่านำผักและผลไม้แช่น้ำเกลือทิ้งไว้นะคะ เพราะนอกจากไม่มีประโยชน์ในเรื่องของการลดสารพิษในผักและผลไม้ของคุณแล้ว ยังจะทำให้คุณได้รับสารพิษจากการทานผักและผลไม้นั้นๆด้วยค่ะ มาดูวิธีล้างผักแบบปลอดภัยกันนะคะ 
8 วิธีล้างผัก ที่คุณเองก็ทำได้ ด้วยสิ่งที่อยู่ในครัว ใกล้ตัวคุณ 

1)น้ำไหล เด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำไหลแรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 25-39 % 

วิธีใช้น้ำไหลล้างผักค่อนข้างเปลืองน้ำ ถ้าเป็นไปได้, ควรเก็บน้ำล้างผักไว้รดต้นไม้ หรือใช้ทำประโยชน์อย่างอื่น 

2) โซดาทำขนมปัง ใช้โซดาทำขนมปัง(โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร(1 กาละมัง) แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษได้ 90-95 % 

3)น้ำส้มสายชู เตรียมน้ำส้มสายชู 0.5 % โดยใช้น้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวดผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 60-84 % 

4)แช่น้ำ ล้างผักรอบแรกให้สะอาด เด็ดผักออกเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 7-33 % 

5)ลวกผัก ลวกผักด้วยน้ำร้อนลดสารพิษได้ 50 % ส่วนการต้มนั้นลดสารพิษได้ 50 % เช่นเดียวกัน 

แต่จะมีสารพิษตกค้างในน้ำแกง จึงควรล้างผักลดสารพิษก่อนทำแกง 

6)ปอกเปลือก การปอกเปลือก หรือลอกใบชั้นนอกออก เช่น กะหล่ำปลี ฯลฯ แล้วแช่ผักในน้ำสะอาดนาน 5-10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งลดปริมาณ สารพิษตกค้างได้ 27-72 % 

7)ด่างทับทิม แช่ผักด้วยน้ำด่างทับทิม นาน 10 นาที 

ใช้ด่างทับทิม 20-30 เกล็ด ผสมน้ำ 4 ลิตร แล้ว ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ 35-43 % 

8)น้ำปูนใส เตรียมน้ำปูนใสอิ่มตัวผสมน้ำเท่าตัวแช่ผักด้วยน้ำปูนใส นาน 10 นาที 

จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ 34-52% 

เพียงแค่คุณใส่ใจเรื่องง่ายๆอย่างการล้างผัก มันอาจจะทำให้คุณมีชีวิตที่ยาวนานขึ้นอีกนะคะ เราปลูกผักทานเองไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะทานผักแบบปลอดภัยได้นะคะ 

ขอบคุณข้อมูลจาก : วารสารหมอชาวบ้าน และChef Ble 

ขอบคุณรูปภาพจาก : campus.sanook.com

របៀបធ្វើទឹកញ วิธีทำน้ำหมักลูกยอดื่มเพื่อสุขภาพ

ជួយដល់អ្នកមានបញ្ហាសុខភាពជាច្រើនមុខ ការធ្វើទឹកញមានលក្ខណៈសាមញ្ញនិងងាយស្រួលបំផុត។ ខាងក្រោមនេះគឺជា របៀបធ្វើទឹកញតាមអ្នកស្រុករស់នៅកោះហាវ៉ៃរបស់អាមេរិក។

#វិធីធ្វើ៖

– បេះញទុំពីចម្ការ ប៉ុន្តែមុនពេលវាប្រែទៅជាស។ – លាងទឹកឱ្យស្អាត រួចហាលថ្ងៃ។ ក្នុងពេលបីបួនម៉ោងវានឹងប្រែជាលឿងៗ ហើយចាប់ផ្តើមធុំក្លិនឈួលខ្លាំងពីញនោះ។ 

– បន្ទាប់មកដល់ពេលដែលត្រូវយកញទាំងនោះមកញាត់ចូលកូនដបតូចៗ។ 

– លោកអ្នកអាចច្រកដាក់កូនដបតូចៗ និងច្រកម្តង ២ ឬ ៣ ផ្លែ តែត្រូវធ្វើយ៉ាងណាឱ្យវាណែនក្នុងដបនោះ។ 

– ទុកចោល ៦ ទៅ ៨ សប្តាហ៍ លោកអ្នកអាចស្រឹតយកទឹកញមកទទួលទានបាន។ ទុកកាន់តែយូរកាន់តែល្អ ហើយទឹកកាន់តែខ្មៅកាន់តែល្អ។ 

– ផឹកមួយថ្ងៃ ៣០ មិល្លីលីត្រ ដើម្បីដើម្បីរក្សាសុខភាពទូទៅឱ្យនៅល្អ និងបង្កើនកម្លាំងខ្លាំងក្លានិងរហ័សរហួន។


#អត្ថប្រយោជន៍ទឹកញ

១- ការពារជំងឺមហារីក

២- ការពារនិងជំរុញមុខងារថ្លើម

៣- សម្រួលសាច់ដុំកុំឱ្យចុករោយ

៤- ការពារកុំឱ្យធ្លាក់ចុះមុខងារខួរក្បារ និងរក្សាការចងចាំរបស់មនុស្ស

៥- បំបាត់ជំងឺសន្លាក់គ្រប់ប្រភេទ

៦- បន្ធូរបន្ថយជំងឺទឹកនោមផ្អែម៕

อยากเลิกบุหรี่..ต้องลองทำตาม!! เลิกบุหรี่ได้ด้วยการเคี้ยวมะนาว 

มีการวิจัยค้นพบว่า ในวิตามินซีจะมีสารที่ช่วยลดความอยากของนิโคตินได้ และช่วยฟื้นฟูร่างกายที่ทรุดโทรมให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า จึงมีการนำใช้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ โดย เทคนิคการรับประทานผลไม้รสเปรี้ยว ที่มีวิตามินซีสูง โดยเฉพาะมะนาว พบว่า เมื่อนำไปใช้แล้วมีประสิทธิภาพได้ผลดีมาก

เนื่องจากมะนาวมีผลต่อการทำงานของต่อมรับรสขม ทำให้รสชาติของบุหรี่เปลี่ยนไป ทำให้สูบรสบุหรี่ไม่อร่อย ขม เฝื่อน จนไม่อยากสูบอีกส่วนใหญ่จะสามารถเลิกบุหรี่ได้ภาย ใน 2 สัปดาห์ และไม่อยากบุหรี่อีก 

ในวันนี้เราจะมาเสนอวิธีการ ดังนี้

? หันมะนาวเป็นชิ้นเล็กๆให้มีเปลือกติดมาด้วย ขนาดเท่าหัวแม่โป้ง หรือ พอคำ 

? เมื่อมีความรู้สึกอยากสูบบุหรี่ ให้กินมะนาวที่หันไว้ โดยอมแล้วค่อยดูดความเปรี้ยว จากนั้นเคี้ยวเปลือกอย่างช้าๆ นาน 3-5 นาที 

? ดื่มน้ำ 1 อึก 

หลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว ใครที่ต้องการเลิกบุหรี่ก็ลองนำวิธีการด้านบนไปทำตามได้เลย แต่ของทุกอย่างก็อยู่ที่ใจของผู้ต้องการเลิกบุหรี่ ดังนั้น ใจของคุณต้องการที่จะเลิกบุหรี่จริงๆด้วย ถึงจะเป็นผลสำเร็จ 

ที่มา – http://www.thaijobsgov.com/jobs=55572

วิตามินและเกลือแร่คืออะไร

image

วิตามินและเกลือแร่ถือเป็นสารที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ต่อสุขภาพของมนุษย์  หากปราศจากวิตามินและเกลือแร่ร่างกายไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และอาจจะป่วยเป็นโรคหลายชนิด อันเกี่ยวเนื่องจากการขาดวิตามินและเกลือแร่

image

วิตามินจะต้องมีอยู่ในอาหารประจำวันของเราเพื่อให้ร่างกายของเราทำงานได้ អានត-อ่านต่อ

បាស ตำลึง

ស្លឹកបាស ជាបន្លែម្យ៉ាងសំរាប់ចំអិនធ្វើម្ហូបអាហារ និងមានផលប្រយោជន៍ផ្នែកសុខភាព ។
ខាងក្រោមនេះ គឺជាផលប្រយោជន៍មួយចំនួនជួយឱ្យរាងកាយមានសុខភាពល្អ និងជួយបំបាត់អាការជំងឺផ្សេងៗដូចជា៖
– ដើមបាសមានលក្ខណៈជាវល្លិ អាចវារតោងទៅលើដើមឈើផ្សេងៗមានផ្កាពណ៌ស មានផ្លែរាងទ្រវែងស្រដៀងត្រសក់ រីឯស្លឹកមានទ្រង់ទ្រាយដូចរូបបេះដូង អាចយកស្លឹក និងត្រួយមកស្ងោរធ្វើជាអាហារដ៏ឈ្ងុយឆ្ងាញ់។
– ស្លឹកបាសមានសារធាតុ “បេតាឃែរ៉ូទីន” សំរាប់ជួយការពារការកើតមហារីកកាត់ បន្ថយជាតិស្ករក្នុងឈាម និងមានសារធាតុកាល់ស្យូម ជួយប៉ូវឆ្អឹង និងធ្មេញមានជាតិដែក និងវីតាមីន C បន្ថយអាការឆ្អល់ តឹងពោះ និងចុកពោះជាដើម ។ ប្រសិនបើទទួលទានស្លឹកបាសឱ្យបានញឹកញាប់សារធាតុសរសៃក្នុងស្លឹកបាសអាចជួយកាត់បន្ថយអត្រានៃភាពប្រថុយប្រថាននឹងការកើតមហារីកនៅក្នុងក្រពះបាន។
– ស្លឹកបាសចាត់ទុកថាជាថ្នាំត្រជាក់ ស្លឹកជួយបណ្ដេញជាតិពុល និងបំបាត់អាការគ្រុនក្ដៅ រលាក ជួយព្យាបាលអាការរមាស់ ដោយប្រើស្លឹកបាសស្រស់ប្រហែល១ក្ដាប់ដៃលាងឱ្យស្អាត និងបុកឱ្យម៉ដ្ឋលាយទឹកបន្ដិចយក ទៅលាបនៅបរិវេណដែលមានរមាស់ ក៏អាចជួយឲ្យធូរស្បើយបានផងដែរ។
– ស្លឹកបាសជាបន្លែម្យ៉ាងដែលងាយរកអាចដាំបានដោយងាយស្រួល គ្រាន់តែយកគ្រាប់ពីផ្លែទុំមកបណ្ដុះ ឬយកដើមចាស់ៗ មកដោតនៅក្នុងដីមានជីវារស្រោចទឹកឱ្យ បានញឹកញាប់ និងយកឈើមកធ្វើជាបង្គោល ឬរបងឱ្យស្លឹកបាសវៀរឡើង ។ លុះនៅពេលដែលវាដុះឡើងចេញជាផ្លែផ្កាល្អ អាចបេះស្លឹកយកទៅដាំស្ល ធ្វើជាម្ហូបអាហារដ៏មានរសជាតិឈ្ងុយឆ្ងាញ់ ប្រសិនបើកាន់តែបេះស្លឹក វាក៏កាន់តែដុះលូតលាស់។
– ផ្លែបាសគេអាចយកទៅធ្វើជាបន្លែដែលមានរសជាតិ
ឈ្ងុយឆ្ងាញ់បានផងដែរ៕

มะกรูด : บำรุงผม ประโยชน์เหลือล้น

image

คนโบราณนิยมสระผมด้วยน้ำมะกรูด เพราะช่วยให้ผมดำเป็นมัน ไม่แห้งกรอบ บ้างก็ผ่าผลดิบบีบน้ำชโลมสระผมโดยตรง บ้างก็นำไปเผาหรือต้มก่อนคั้นน้ำสระ มีหลายวิธีให้เลือกดังนี้
1.ใช้มะกรูดสดผ่าครึ่ง แคะเมล็ดออก คั้นน้ำใช้สระผม ฝานผิวมะกรูด นำมาตำให้ละเอียด ผสมด้วยน้ำมะกรูด เติมน้ำพอให้ส่วนผสมเริ่มเหลว คนให้เข้ากันดี ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วกรองคั้นเอาแต่น้ำไปใช้สระผม
2.ใช้มะกรูดสดหรือเผาไฟก่อนก็ได้ หั่นผลมะกรูดเป็นชิ้น ปั่นชิ้นมะกรูดให้ละเอียด เทใส่ชาม เติมน้ำอุ่นพอท่วมส่วนผสม คนให้เข้ากัน ตั้งทิ้งไว้ 10-20 นาที คั้นเอาแต่น้ำใส่ขวดแช่ตู้เย็นไว้ใช้สระผม เก็บได้นาน 1-2 สัปดาห์ทั้งนี้ก่อนสระผมควรราดน้ำบนผมให้เปียกชุ่มเสียก่อน ใช้น้ำมะกรูดปริมาณพอดีๆ นวดหนังศีรษะไปด้วยขณะสระผม ทิ้งไว้ 2-3 นาทีก่อนล้างออกและสระด้วยน้ำมะกรูดซ้ำอีกครั้ง ล้างออกให้สะอาดไม่ให้มีเศษมะกรูดหลงเหลืออยู่

สรรพคุณทางยา
1.ใบมะกรูด มีรสปร่า กลิ่นหอม ดับกลิ่นคาว แก้ไอ แก้ช้ำใน
2.ผลมะกรูด ตัดจุกผลมะกรูด คว้านไส้กลางออก ใส่มหาหิงส์แล้วปิดจุก นำไปเผาไฟจนดำเกรียม บดเป็นผงละลายกับน้ำผึ้งใช้กิน จะช่วยขับลมแก้ปวดท้อง หรือใช้ป้ายลิ้นเด็กอ่อนเป็นยาขับขี้เทาได้ ใช้เป็นยาขับลมแก้ปวดท้องในเด็กอ่อนด้วย
3.น้ำมะกรูด มีรสเปรี้ยว ใช้ผลมะกรูดผ่าซีกเติมเกลือ ลนไฟให้เปลือกนิ่ม บีบน้ำมะกรูดลงในคอทีละน้อยๆ ช่วยกัดเสมหะ แก้ไอ แก้น้ำลายเหนียว กัดเถาดานในท้อง แก้ระดูเสีย ฟอกโลหิต ขับระดู ขับลมในลำไส้ ใช้ถูฟันแก้เลือดออกตามไรฟัน
4.ผิวมะกรูด มีรสปร่า กลิ่นหอมร้อน ขับลมในลำไส้ ขับระดู ขับผายลม ฝานบางๆ ชงน้ำเดือดใส่การบูรเล็กน้อย กินแก้ลมวิงเวียน บำรุงหัวใจและช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดดี
5.ราก มีรสจืดเย็น แก้ไข้ ถอนพิษสำแดง แก้ลมจุกเสียด กระทุ้งพิษไข้ แก้พิษฝีภายใน แก้เสมหะ

(เครดิต : หมอมวลชน)

9 ข้อควรรู้ที่เราไม่เคยใส่ใจ ในการกิน

image

เรื่องเล็กๆ ที่เราเห็นอยู่ทุกวัน แต่บางครั้งเราก็มองข้ามไป ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เราป่วยก็ได้ รวมถึง 9 เรื่องต่อจากนี้ที่รู้ไว้ก็ไม่เสียหลาย และอาจจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของเราด้วย 

1. ยาคูลท์ขวดเล็กๆ มีส่วนผสม ของน้ำตาลทรายขาว 6 ช้อนชา

2. ร้านกาแฟโบราณรถเข็น ที่ขายโอเลี้ยง และชาดำเย็น มีต้นทุนค่ากาแฟเย็น แก้วละ 3 บาท
(ขณะที่มั่วๆ ขายเราแก้วละ 20-30 บาท ประหนึ่งว่าตัวเอง เป็นร้านกาแฟสด)

3. ร้านขายน้ำส้มคั้นสดๆ ตามร้านริมถนน จะมีสวนผสมของยาฆ่าแมลง อยู่ด้วยเสมอจากผิวเปลือกส้ม ที่ไม่ได้ล้าง หรือล้างไม่สะอาด

4. 95% ของร้านที่ผ่าไข่ด้วยเชือกด้าย เช่น ร้านข้าวหมูแดง ร้านก๊วยจั๊บ เชือกด้ายนั้น ไม่เช็ค ไม่เคยล้าง ไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่เปิดร้าน จนปิดร้าน

5. 90% ของร้านขายข้าวขาหมู จะเอาคะน้าที่ไม่ได้ล้าง ไปลวกให้สุกในน้ำขาหมู ก่อนที่จะหั่นเนื้อ หันผัก และตักน้ำขาหมู มาราดข้าวให้เรา

6. 80% ของแม่ค้าขายของ ที่ใส่ถุงมือขายอาหาร จะใส่ถุงมือหยิบอาหาร และทอนเงิน

7. อาหารใส่ถุงที่ซื้อจากตลาด ในตอนเช้า แล้วกลางวันบูด แสดงว่า อาหารสกปรกมีเชื้อแบคทีเรีย แต่ถ้าไว้ข้ามคืน และไม่ได้ใส่ตู้เย็นอาหารก็ยังไม่เสีย แสดงว่า ใส่สารกันบูด

8.โรตีอาบังที่เข็นรถขายตอนเย็นๆ กลางคืน เวลาบังปวดฉี่ บังจะไปยืนหลบๆต้นไม้ฉี่เสร็จ บังไม่ได้ล้างมือที่จับจู๋ฉี่ บังก็มาจับก้อนแป้งตบๆบี้ให้แบน เหวี่ยงให้เป็นแผ่นแล้วก็ทอดโรตีขายให้เรากิน 

9.รถเข็นขายไส้กรอกอิสาน ขายจนดึกกลับที่พัก ก็จอดรถเข็นไว้หน้าที่พัก ห้องเช่า โดยไม่ได้เก็บที่ปิ้งย่างไส้กรอก ทิ้งไว้บนรถเข็น ตกดึกหนูก็จะมารุมแทะเศษหนังเศษมันของไส้กรอกทราติดอยู่ที่เหล็กบนเตาปิ้ง แถมฉี่ใส่อีกต่างหาก พอสายๆตื่นมาคนขายก็มาปัดๆ กวาดๆ แล้วก็เตรียมของที่จะไปขายต่อ กินกันเข้าไปเชื้อโรคทั้งนั้น

ข้อมูลจากเฟชบุ๊ค ศูนย์สันติสุข

งาดำ ราชินีแห่งพืชน้ำมัน ราชันแห่งธัญพืช

image

งาดำ ผลวิจัยว่า กินวันละ 4 ช้อนชา ไม่อ้วน ไม่แก่ตามวัย ไม่เป็นมะเร็ง มีแคลเซียมมากกว่านมวัว 6 เท่า มีธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ทองแดง และมีวิตามินบีหลายชนิด ที่ดีต่อระบบประสาท ช่วยให้นอนหลับ สดชื่นกระฉับกระเฉง มีสารบำรุงประสาทด้วย และมีวิตามินอีเป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ห่างไกลมะเร็ง

งาดำ ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งพืชน้ำมัน ราชันแห่งธัญพืช”  ในงาดำมีสารสำคัญคือ “เซซามิน” รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบัณฑิตศึกษาและอาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับ สารสกัดงาดำ “เซซามิน” พบว่ามนุษย์มีองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากงามากว่า 4,000 ปีแล้ว “เซซามิน” ในงาดำมีคุณประโยชน์ 8 ประการ คือ

1. ช่วยเผาผลาญ สลายไขมัน ลดความอ้วน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ
2. ลดการดูดซึม และการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล
3. ทำให้ระดับไขมันอยู่ในสัดส่วนพอดี
4. เสริมการทำงานของวิตามินอี
5. ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ในระบบประสาท
6. ลดปฏิกิริยาความเครียด
7. ต้านอนุมูลอิสระ
8. ต้านการอักเสบ

สรรพคุณลดการอักเสบ มีการทดลองกับกระดูกอ่อนของหมู พบว่าสารเซซามินที่สกัดจากงาดำสามารถยับยั้งการเสื่อมสลายของเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่ห่อหุ้มข้อต่างๆ ของร่างกายได้ จึงเชื่อว่าจะมีสรรพคุณเช่นเดียวกันเมื่อนำมาใช้กับคน ทั้งนี้กำลังอยู่ระหว่างการเริ่มทดลองขั้นสูงในระดับคลินิกต่อไป

วิธีทำกินเอง
นำงาดำมาคั่วแล้วบด กินวันละไม่เกิน 4 ช้อนชา
* ต้องควบคุมคุณภาพให้ได้ควรทำกินใหม่ๆ เพราะคั่วไว้นานๆ อาจทำให้เกิดสารพิษก่อมะเร็งได้
* ไม่มีข้อห้ามว่าใครไม่ควรกินงาดำ แต่ก็อาจมีบางคนที่แพ้งาดำ ดังนั้นต้องทดลองกินน้อยๆ ก่อน

นพ.ไพศิษฐ์ ตระกูลก้องสมุท ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ รพ.สมิติเวช สุขุมวิท บอกว่า การดูแลตัวเองให้อ่อนเยาว์อยู่เสมอ ให้หลีกเลี่ยง แสงแดด อาหาร การเผาผลาญในร่างกาย ความเครียด มลพิษต่างๆ ฯลฯ เพราะจะเร่งการทำลายเซลล์ต่างๆ ในร่างกายให้เสื่อมเร็วขึ้น ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ

ที่สำคัญสุดๆ คือกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อาทิ กลุ่มของธัญพืชอย่าง งาดำ เพราะงาดำนอกจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูงแล้ว ยังมีสารเซซามินสารต้านอนุมูลอิสระชั้นสูง ที่สามารถดักจับอนุมูลอิสระ สาเหตุของริ้วรอยและปัญหาผิวเหี่ยวย่น ด้วยการช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ และการดูดซึมไขมัน รวมถึงเพิ่มออกซิเจนให้ผิว

แนะนำเทคนิคสำคัญในการกินงาดำให้ได้ประโยชน์นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบดให้ป่น หรือเคี้ยวให้ละเอียด ซึ่งจะได้ทั้งกากใย และสารอาหารที่มีประโยชน์ในเมล็ดงาอย่างครบถ้วน

******* *******
ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อความพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานไปต่อยอดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่ตอบคำถามเพิ่มเติม  ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ประจำหน้าเพจ
เรียบเรียงโดย ชีวอโรคยา อ้างอิงข้อมูลจาก dailynews.co.th/article/251540 / น้ำมันงาดำดอทคอม
ภาพโดย ชีวอโรคยา สงวนลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2558  

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ
ติดตามข้อมูลข่าวสาร การดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

18 สาเหตุ ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง + อ่อนเพลีย

image

18 คำตอบ เวลาที่คุณรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง เวลาที่เราอ่อนเพลีย เรามักโทษความเครียดและการนอนน้อย แต่ยังมีสิ่งผิดปกติอื่นอีกที่สามารถสูบพลังจนหมดตัวคุณได้ โชคดีที่เรามีวิธีเรียกพลังใจและกายกลับคืนมา

1. ใช้โทรศัพท์มากเกินไป คุณจะเสียน้ำในร่างกายไปทางปากขณะพูด ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า Phone-Fatigue ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำ หรับพนักงานตามศูนย์บริการลูกค้า อาการขาดน้ำทำให้เลือดแข็งตัวและลดปริมาณออกซิเจนในระบบที่เป็นตัวให้พลังงาน ดังนั้น ถ้าคุณใช้โทรศัพท์นาน ควรดื่มน้ำมากๆ ระหว่างคุย

2. ความดันเลือดต่ำ ความดันเลือดต่ำคือสาเหตุใหญ่ที่คุณหมดแรง แพทย์ยังไม่รู้ว่าทำไม แต่เป็นไปได้ว่ามันทำให้เลือดส่งไปยังสมองไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้อ่อนเพลีย อาการที่พบได้บ่อยที่สุดในคนที่มีความดันเลือดต่ำคือ รู้สึกหน้ามืดเวลาลุกขึ้นปุบปับ หรือเวลายืนนานๆ ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์

3. เล่นเน็ตดึกเกินไป ฮอร์โมนเมลาโตนิน ( Melatoni n) จะกระตุ้นให้เรานอนหลับ แต่แสงจากจอคอมพิวเตอร์อาจทำให้เราหลับยาก โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังดูสิ่งที่สนใจอยู่ ซึ่งทำให้คุณมักนอนดึก และมีเวลานอนหลับน้อยลง ให้คุณทำอย่างอื่นที่ผ่อนคลายกว่า เช่น อ่านหนังสือแล้วดูสิว่าคุณจะตื่นตัวมากกว่าเดิมในวันใหม่หรือเปล่า

4. กินอาหารไม่เต็มที่ การเฝ้ารออาหารจะเพิ่มปริมาณน้ำย่อย และทำให้เราดูดซับสารอาหารได้มากขึ้นที่มันเกี่ยวกับอาการอ่อนเพลียก็เพราะการขาดธาตุเหล็กคือหนึ่งในสาเหตุของความอ่อนเพลียที่พบมากในผู้หญิง ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เพิ่มระดับสารอาหารให้คุ ณ ก็จะเพิ่มพลังใจและกายให้ด้วย

5. ไม่ออกกำลัง นักวิจัยพบว่าคนที่ออกกำลังอย่างน้อย 20 นาที แม้จะแค่อาทิตย์ละครั้งก็จะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยกว่า คนที่ไม่ออกกำลังเลยประมาณ 30% ถ้าเห็นว่าออกกำลังเป็นเรื่องยากเกินไปให้คุณกินผักและผลไม้เพิ่ม คนที่กินผักผลไม้อย่างน้อย 4 – 5 จานต่อวันจะออกกำลังได้อย่างสบายๆ

6. อิทธิพลของเดือนเกิด ถ้าคุณเกิดเดือนธันวาคม หรือมกราคม จะอ่อนเพลียในช่วงเย็นมากกว่าคนที่เกิดเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคมที่จะขี้เซาในยามเช้า นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การสัมผัสของแสงแดดยามเช้าประมาณ 15 นาที จะทำให้คนประเภทหลังตาสว่าง ส่วนกาแฟยามบ่ายจะเพิ่มพลัง ให้กับคนประเภทแรก

7. กรามแข็ง คุณสามารถใส่นิ้ว 3 นิ้วเรียงเป็นแนวตั้งเข้าปากพร้อมกันหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ คุณคงมีปัญหาที่เรียกว่า โรค TMJ (TemporomandiBular Joint Disorder) แพทย์บอกว่ามันคือความไม่สมดุลระหว่างกล้ามเนื้อใกล้กราม และตำแหน่งของฟัน อาการทั่วไปคืออ่อนเพลีย และปวดหัว ปวดคอ หรือไหล่ ควรปรึกษาทันตแพทย์

8. ธรณีหน้าต่างสกปรก จากการวิจัยพบว่า 88% ของบ้านทั่วไปจะมีราขึ้นตามหน้าต่าง และการแพ้เชื้อราเหล่านี้เองคือ สาเหตุหนึ่งของความอ่อนเพลีย ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดและตรวจดูผ้าม่านอาบน้ำของคุณด้วยว่ามีราหรือเปล่า

9. ไม่ได้เอาผ้าห่มไปผึ่งแดด ระดับความขึ้นสูงทำให้ไรฝุ่นเติบโตได้ดี มันอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามหลอดลมในปอด ทำให้หายใจติดขัดและนอนหลับไม่สนิท และเป็นสาเหตุของความอ่อนเพลียในวันต่อมา นำผ้าห่มผึ่งแดด เป็นประจำเมื่อความชื้นหมดไป ก็ไม่มี ไรฝุ่น

10. เชื่องช้า งุ่มง่าม ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเมื่อคุณงุ่มง่าม เพราะปริมาณกลูโคสเข้าสู่สมองน้อยลง คุณเลยอ่อนเพลีย การผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดทำได้โดยเหวี่ยงแขนไปหน้าและหลัง สลับทีละแขน

11. อยู่ใกล้คนมองโลกในแง่ร้าย คนที่มองทุกอย่างในแง่ร้ายจะฉุดพลังคุณหดหายไปด้วย เพื่อลดอิทธิพลของพวกเขาให้จินตนาการว่า คุณกำลังใส่เสื้อคลุมสีดำเวลาคุยกันก็จะยับยั้งไม่ให้คุณดูดพลังแง่ลบจากพวกเขาได้

12. อยู่ใกล้เครื่องใช้ ไฟฟ้ามากเกินไป ขั้วบวกที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ หรือเครื่องปรับอากาศอาจกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมนที่ทำให้เราอ่อนเพลียและซึมเศร้า ให้เสียบปลั๊กตัว แปลงขั้วไฟฟ้าเพื่อเพิ่มระดับของขั้วลบที่เสริมพลังในอากาศ

13. ลืมดื่มกาแฟตอนเช้า ถ้าคุณไม่ได้ดื่มกาแฟยามเช้า พลังกายและใจอาจตกวูบในวันนี้ จากงานวิจัยพบว่าผู้ร่วมวิจัย 50% มีอาการอ่อนเพลียถ้าไม่ได้ดื่ม กาแฟถ้วยแรกของวัน ซึ่งมีถึง 13% ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

14. บ้าน รก ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยบอกว่ากองสิ่งของรกเกะกะจะทำให้สถานที่นั้นขาดพลังและกระตุ้นให้คุณขาดพลังไปด้วย คุณไม่ต้องถึงกับเก็บทุกอย่างในทันที แค่สะสางพื้นที่อาทิตย์ละครั้งก็ใช้ได้

15. ร่างกายมีปัญหา แม้ว่าการเจ็บหน้าอกคือสัญญาณหลักๆ บอกถึงอาการโรคหัวใจ แต่สำหรับเพศหญิงสัญญาณนั้นอาจเป็นความอ่อนเพลีย ซึ่งมีมากถึง 70% ที่ อ่อนเพลียภายในเดือนนั้น ก่อนหัวใจกำเริบ สัญญาณอื่นๆ อาจ รวมถึงการนอนไม่หลับ หายใจขาดห้วง อาหารไม่ย่อย และความเครียด 43% ของผู้หญิงไม่มีอาการเจ็บ หน้าอกเลย แม้โรคหัวใจจะกำเริบก็ตาม พบผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนเป็นโรคหัวใจน้อยมาก แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีควรตรวจร่างกาย โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สูบบุหรี่ ความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอล สูง เป็นเบาหวาน หรือคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

16. กลั้นหาว การหาวเป็นวิธีธรรมชาติที่ร่างกายของเรากระตุ้นให้เราตื่น นักจิตวิทยาบอกว่าการเคลื่อนไหวของ กรามจะบีบหลอดเลือดบนใบหน้า ซึ่งส่งเลือดไปยังสมอง การกลั้นหาวจึงเป็นการยับยั้งกระบวนการนี้ และทำให้คุณยิ่งง่วงนอนมากขึ้น

17. ใช้ชีวิตตามตาราง ตารางกิจกรรมที่เตือนคุณทุกอย่างว่าต้องทำอะไรบ้าง คือตัวดูดพลังชั้นดี นักวิจัยพบว่าคนที่คิดว่าเขา ทำอะไรไปได้มากแค่ไหนมักจะอ่อนเพลียง่ายกว่า คนที่ทำสิ่งที่ต้องทำไปเรื่อยๆ

18. หมอนเก่าเกินไป ถ้าหมอนของคุณยวบยาบไม่แข็งพอ จะทำให้ลำคอของคุณไม่ได้ระนาบเดียวกับลำตัว ซึ่งไม่เพียงทำให้กล้ามเนื้อตึงตัวซึ่งทำให้คุณนอนไม่หลับแล้ว ยังไปกีดขวางระบบการหายใจเวลาคุณหลับด้วย ถ้าหมอนของคุณอ่อนนิ่มจนโอบรอบแขนคุณได้ก็ถึงเวลาซื้อใบใหม่แล้วค่ะ

(Cr: Thaihealth)

สูตรน้ำดีท็อกซ์ล้างลําไส้ ทำติดกัน 3 วัน สวยใส หุ่นเฟิร์ม

image

การดูแลและรักษาสุขภาพ เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนพยายามเรียนรู้เพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ และโดยเฉพาะให้ห่างจากค่ารักษาพยาบาลอันสุดแสนแพง ในขณะที่เจ็บป่วยจำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาล เป็นข้อที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การมีสุขภาพที่ดีจึงเป็นลาภอันประเสริฐ

เดี๋ยวนี้การดีท็อกซ์ลำไส้ไม่จำป็นต้องไปถึงโรงพยาบาลแล้วคะ เพราะเราก็สามารถดีท็อกซ์ลำไส้ด้วยด้วยตัวเองได้ที่บ้านเลย ด้วยสูตรเครื่องดื่มดีท็อกล้างลำไส้ที่เราก็ทำเองได้ง่าย ๆ แถมประหยัดตังค์กว่าไปทำที่โรงพยาบาลเป็นไหน ๆ ลองทำติดต่อกัน 3 วัน ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้คุณถ่ายคล่อง พุงยุบ เริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างมั่นใจเพราะพุงยุบใส่ชุดอะไรก็สวย และที่สำคัญผิวพรรณจะสดใสขึ้นด้วย

สูตรที่ 1 น้ำเปล่า + เม็ดแมงลัก

สูตรนี้ง่าย ๆ เลย แค่เตรียมน้ำร้อน 1 แก้ว ใส่เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา รอ 30 นาทีให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มทีก่อนแล้วค่อยดื่ม สูตรนี้แนะนำให้ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะมีใยอาหารสูงและมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ จึงช่วยในการลากอุจจาระที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารออกมาได้อย่างดีเลยทีเดียว ตื่นเช้ามาถ่ายคล่อง สบายพุง เบาตัวไปอีก

สูตรที่ 2 น้ำเปล่า 1 ลิตร + มะนาว 2 ลูก + เกลือ 2 ช้อนชา

ใครจะทำสูตรนี้แนะนำว่าให้ทำวันหยุด เพราะทำสูตรนี้แล้วคุณจะถ่ายแบบไม่เป็นเวลาเลยทีเดียว เตรียมน้ำเปล่า 1 ลิตร บีบน้ำมะนาว 2 ลูก แล้วตามด้วยเกลือ 2 ช้อนชา และเขย่าให้เข้ากัน พยายามดื่มให้หมดภายใน 10-20 นาที พอดื่มหมดขวดแล้วสักพักคุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำทันที สูตรนี้จะช่วยให้คุณถ่ายแบบหมดลำไส้จริง ๆ  เหมือนช่วยผลักของเก่าที่มีอยู่ออกมาจนหมด สบายพุงแน่นอน แต่สูตรนี้แนะนำให้ทำอาทิตย์ละครั้งพอนะคะ ทำทุกวันไม่ไหวจริง ๆ

สูตรที่ 3 โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว

ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย, นมสดรสจืด 100% 1 กล่อง, น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และน้ำมะนาวครึ่งลูก คนให้เข้ากับแล้วดื่มทันที ห้ามวางแช่ทิ้งไว้ ถ้าดื่มก่อน 7 โมงเช้าจะดีมาก สูตรนี้ช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงาน เมื่อเราถ่ายคล่อง พุงก็ยุบตามไปด้วย ใส่ชุดไหนก็มันใจละวันนี้

สูตรที่ 4 นมสด + กล้วยน้ำหว้า

สูตรนี้ใช้นมสด 2 กล่อง (รวมปริมาณประมาณ 500 มิลลิลิตร) กินพร้อมกับกล้วยน้ำหว้า 2 ผล หรือจะเอาไปปั่นรวมกันแล้วดื่มก็ได้ ดื่มตอนท้องว่างหลังตื่น ดื่มก่อน 6 โมงเช้าได้ยิ่งดี เพราะเราจะได้ถ่ายก่อน 7 โมงเช้า สูตรนี้ก็จะไปกระตุ้นให้ถ่ายออกมา แนะนำให้ทำติดต่อกัน 3 วัน จะช่วยให้เราขับถ่ายเป็นเวลาด้วย

เห็นไหมล่ะค่ะว่าเรามีวิธีการดีท็อกดีๆ ที่ทำได้ง่ายๆไม่ยุ่งยาก ที่ใครๆสามารถทำทานได้เองที่บ้าน มีสิ่งดีๆอย่าลืมบอกต่อ แชร์ต่อให้คนรอบข้าง ให้คนที่เรารักได้รักษาสุขภาพเหมือนเรานะค่ะ

ข้อมูลดีๆจาก cosmenet

ดอกดาวเรือง…ช่วยรักษาตาและบำรุงตับ

image

ดอกดาวเรืองคือเจ้าแห่งการรักษาตาบำรุงตับ!!ลองอ่านดูค่ะ
ตา กับ ตับ ในแผนโบราณเราเชื่อว่าเป็นจุดแสดงอาการของโรค หากผู้ที่มีปัญหาเรื่องตับ ตับร้อน ตับอ่อนแอ ตับอักเสบ แสดงออกที่ดวงตาทั้งสิ้น
ใครที่มีอาการดังต่อไปนี้ คุณควรถนอมตับ ก่อนตับป่วย
1. มีอาการแสบตา ตาแห้ง
2. มีอาการร้อนออกตา
3. ตาฉ่ำๆ เหมือนมีน้ำตาคลอตลอด
4. มีเส้นเลือดฝอยเล็กๆในตามาก
5. ตาเริ่มมีสีออกเหลืองๆ
อาการเหล่านี้จะดำเนินทางโรคจาก 1 ถึง 5 หากไม่รีบรักษาหรือคอยบำรุงตับตั้งแต่แสบตา ตาแห้ง โรคตับจะยิ่งมากขึ้น!!
วิธีปรุงชา ดอกดาวเรือง แก้ตาแห้ง แสบตา บำรุงตับ
1. เลือกดอกดาวเรืองที่แกจัด 10 ดอก รวมฐานรองดอก
(ไม่เอาที่ร้อยพวงมาลัยตามตลาด)
2. ล้างให้สะอาด
3. ใส่ลงหม้อ เติมน้ำ 2 ลิตร
4. ต้มจนเดือด ลดไฟลงกลางๆ เคี่ยวต่อจนน้ำลดลงเหลือครึ่งนึง
5. ดื่มครั้งละ 30-50 ซีซี ก่อนอาหาร 30 นาที เช้าเย็น
(ที่เหลือเก็บใส่ตู้เย็น หากจะทาน เทใส่แก้ว 30-50 ซีซี แล้วเติมน้ำร้อน ดื่มอุ่นๆ)
รับประทานติดต่อกัน 1-2 อาทิตย์ หากอาการตาแห้ง แสบตาไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ครับ
(สามารถปรุงให้มีรสหวานเล็กน้อยได้ด้วยน้ำตาลกรวด)
***ดอกดาวเรืองดีกับดวงตา โดยเฉพาะคนที่เล่นคอม เล่นมือถือมากๆ ดื่มก่อนนอนอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งช่วยได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมุนไพรหมอศุภ

4 เทคนิคง่ายๆ ป้องกันภาวะสมองเสื่อม

image

  1.บริหารสมอง โดยฝึกทักษะการใช้มือ เท้า และประสาทสัมผัสทั้ง 5 ให้สามารถรับรู้และเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ ให้ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาทและสมองส่วนต่างๆ ทำงานประสานสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ เช่น เต้นรำ เล่นหมากรุก หมากล้อม โยคะ รำมวยจีน ต่อจิ๊กซอว์ อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ทำงานบ้านหรืองานอดิเรกที่ชอบ เป็นต้น

       2.บริโภคอาหาร โดยรับประทานอาหารครบหมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินเกณฑ์ หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่จะทำให้เกิดอันตรายแก่สมอง เช่น การดื่มเหล้าจัดหรือการรับประทานยาโดยไม่จำเป็น เลือกรับประทานอาหารที่บำรุงสมอง เช่น ธัญพืชหรือถั่ว ผักใบเขียวทุกชนิด ถั่วเหลือง อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง ผลไม้รสเปรี้ยว ปลาทะเลน้ำลึก ปลาทูน่า เป็นต้น
      
       3.รักษาร่างกาย โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพประจำปี หรือถ้ามีโรคประจำตัวอยู่เดิมก็ต้องติดตามการรักษาเป็นระยะ หากมีอาการเจ็บป่วยควรปรึกษาแพทย์แต่เนิ่น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เพื่อลดโอกาสเกิดอาการสับสนเฉียบพลัน ที่สำคัญ ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุต่อสมอง ระวังการหกล้ม เป็นต้น
      
4.ผ่อนคลายความเครียด โดยการหารูปแบบที่เหมาะสมกับตนเองให้มากที่สุดและสามารถนำมาใช้ได้กับชีวิตจริง เช่น การฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ การฝึกสมาธิ การพูดคุย หรือพบปะผู้อื่นบ่อยๆ เช่น ไปวัด ไปงานเลี้ยงต่างๆ หรือเข้าชมรมผู้สูงอายุ เป็นต้น

จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณ หากทานกล้วยที่มีจุดสีดำบนเปลือก!!

image

คนจำนวนมากนั้นชอบที่จะทานกล้วย แต่พวกเขาคงต้องการที่จะทราบบางสิ่งเกี่ยวกับมันก่อนที่จะทำการซื้อในครั้งต่อไป ลองอ่านข้อความด้านล่างนี้และระมัดระวังการทานผลไม้ชนิดนี้ในครั้งต่อไปกันให้ดี

กล้วยสุกงอมนั้นเต็มไปด้วยสาร TNF (ทิวเมอร์ เนคโครซิส แฟคเตอร์ – Tumor Necrosis Factor) มันเป็นสารที่สามารถต่อสู้กับเซลล์ที่มีความผิดปกติได้ ยิ่งมีจุดดำบนเปลือกกล้วยมากขึ้นเท่าไหร่นั้น ก็ยิ่งทำให้กล้วยสุกนั้นมีประโยชน์มากขึ้นในการปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้ยืนยันออกมาว่า สาร TNF ที่ถูกพบในกล้วยนั้น จะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่ให้เกิดเป็นโรคมะเร็งขึ้นได้ ดังนั้นการบริโภคกล้วยก็จะสามารถป้องกันเนื้องอกให้กับคุณได้เช่นกัน

นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้ทำการทดลองจนค้นพบว่า นอกจากกล้วยจะมีสาร TNF (สารต้านมะเร็ง) แล้วนั้น มันยังช่วยเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย คำแนะนำก็คือให้ทานกล้วย 1 – 2 ลูกต่อวัน เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของคุณ

กล้วยที่มีจุดที่ดำได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มันดีต่อสุขภาพมากกว่ากล้วยเปลือกสีเขียว หรือในกล้วยที่สดใหม่ซึ่งไม่มีจุดให้พบเห็นบนเปลือกของมันเลย 

คุณสามารถเอาชนะเซลล์มะเร็งได้โดยได้รับความช่วยเหลือจากสาร TNF ผลกระทบที่กล้วยมีต่อร่างกายนั้นมันจะเชื่อมโยงยังเลนติแนน (Lentinan) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นในการสร้างภูมิคุ้มกัน และเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวต่อต้านเซลล์มะเร็ง สรุปคือกล้วยสุกนั้นมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง เพราะมันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของเซลล์เม็ดเลือดขาว และป้องกันไม่ให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ขึ้นมาได้ 

หมายเหตุ : ในการป้องกันไม่ให้สูญเสียการได้รับวิตามินจากการทานกล้วยนั้น คุณควรนำกล้วยสุกไปแช่ไว้ในตู้เย็น หรือทานกล้วยเมื่อพบจุดดำบนเปลือกในทันที

ล้างพิษด้วยถั่วเขียว

image

ล้างพิษด้วยถั่วเขียว สรรพคุณ ดับร้อน ถอนพิษไข้
ขับปัสสาวะ แก้อาการอาหารเป็นพิษ หรือตัดพิษจากสมุนไพร ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง มีประโชน์ต่อตับ (ธาตไม้) แก้ร้อนใน ถอนพิษจากพืชและสารหนู บำรุงสายตา ลดความดันโลหิต รักษาอาการกระหายน้ำ ลำไส้อักเสบ เบาหวาน ช่วยกระตุ้นประสาท โดยมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และแคโรทีนเป็นส่วนประกอบ

กรณีใช้ถอนพิษจากพืช และสารหนู ให้นำถั่วเขียวล้างให้สะอาด นำไปต้มกับน้ำประมาณ ๕-๑๐ นาที แล้วเทเอาน้ำถั่วเขียวให้ผู้ที่ได้รับพิษดื่มเข้าไปมากๆ จนอาเจียนออกมายิ่งดี จะช่วยขับพิษที่เข้าไปในร่างกายได้ดีมาก

ส่วนสารพิษจากยาฆ่าแมลง สารพิษจากโรงงาน สารพิษกลุ่มนี้มันแพ้ถั่วเขียว การกินถั่วเขียวสามารถล้างสารพิษของยาฆ่าแมลงได้ แล้วก็ค้นพบอีกว่า ถั่วเขียวต้มธรรมดามันไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ วิธีที่จะทำให้ถั่วเขียวแรงกว่าเดิมและขจัดสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้คือ เอาไปต้มกับข้าวหรือ เอาไปหุงพร้อมกันกับข้าวแค่นี้ง่ายมาก

ใช้ถั่วเขียว 1 ส่วน ข้าว 1 ส่วน ต้มด้วยกันให้เป็นข้าวต้ม หรือไปหุงกับข้าวโดยเอาถั่วเขียวไปแช่น้ำก่อน ๑ คืนแล้วน้ำไปหุงพร้อมกับข้าวสาร ข้าวต้มถั่วเขียวและข้าวสวยใส่ถั่วเขียว กินล้างสารพิษของยาฆ่าแมลงได้

ข้าวต้มถั่วเขียวใช้ ข้าวเจ้า 1 ส่วน + ถั่วเขียว 1 ส่วน ต้มด้วยกัน กลายเป็นข้าวต้มอร่อย แทบไม่ต้องกินกับข้าวเลยนะสูตรนี้ ส่วนจะกินกับข้าวอะไรก็ได้ ก็ทำเป็นข้าวต้มธรรมดา ใครจะกินเป็นประจำก็จะล้าง สารพิษจากยาฆ่าแมลง และสารพิษจากโรงงาน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : สมาคมเภสัชและอายุรเวชโบราณแห่งประเทศไทย

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ประโยชน์ของถั่วเขียว
1.โพแทสเซียมช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อในร่างกายให้แข็งแรง
2.ถั่วเขียวมีสารต้านเอนไซม์โปรตีเอสในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านมะเร็ง
3.ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัด
4.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยในการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ช่วยผลิตโปรตีน และกาดหดตัวข้องกล้ามเนื้อ
5.ช่วยลดความดันโลหิต
6.ช่วยทำให้เจริญอาหาร
7.ช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอล ช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือด ควบคุมน้ำหนักได้ เพราะถั่วเขียวมีส่วนประกอบของไขมันที่ต่ำมาก ไม่มีคอเลสเตอรอล และยังอุดมไปด้วยโปรตีนกับเส้นใยอาหาร
8.ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
9.ถั่วเขียวมีฤทธิ์เย็น ออกฤทธิ์ตามเส้นลมปราณของหัวใจและม้าม
10.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยธาตุเหล็กซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกาย
11.ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเบาหวานได้
12.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังช่วยป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย
13.ช่วยขับร้อน แก้อาการร้อนใน และช่วยแก้พิษในฤดูร้อน
14.ถั่วเขียวมีประโยชน์ต่อลำคอและผิวหนัง และยังช่วยแก้อาการกระหายน้ำได้อีกด้วย
15.เมล็ดถั่วเขียวนำมาต้มกับเกลือ ใช้อมเพื่อรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้
16.ช่วยถอนพิษในร่างกาย
17.ช่วยกระตุ้นประสาท ถั่วเขียวเป็นแหล่งสำคัญของธาตุโบรอน (Boron) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกระแสประสาทของสมอง ทำให้ช่วยสมองทำงานได้ฉับไวมากขึ้น และยังอุดมไปด้วยฟอสฟอสรัส ที่ช่วยบำรุงเซลล์ประสาทและสมอง[4]
18.ช่วยบำรุงสายตา ทำให้ตาสว่าง และรักษาตาอักเสบ (เปลือกสีเขียว)[9] ช่วยแก้อาการตาพร่า ตาอักเสบ ด้วยการรับประทานถั่วเขียวต้มครั้งละ 15-20 กรัมเป็นประจำ
19.ช่วยรักษาคางทูมที่เป็นใหม่ๆ ด้วยการต้มถั่วเขียว 70 กรัมจนใกล้สุก แล้วใส่แกนกะหล่ำปลีลงไป / หัวต้มอีก 15 นาที กินเฉพาะน้ำวันละ 2 ครั้ง
20.ช่วยแก้อาการอาเจียนจากการดื่มเหล้า ด้วยการดื่มน้ำถั่วเขียวพอประมาณ
21.ช่วยขับของเหลวในร่างกาย
22.ในถั่วเขียวอุดมไปด้วยเส้นใยที่สามารถละลายน้ำได้ดี จึงช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ
23.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินบี2 ที่ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอกได้
24.ถั่วเขียวมีเส้นใยอาหารสูงจึงช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และยังส่งผลดีต่อระบบลำไส้โดยรวมอีกด้วย
25.เมล็ดถั่วเขียวนำมาต้มแล้วกินใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
26.ช่วยแก้ลำไส้อักเสบ
27.ช่วยบำรุงตับ
28.ช่วยแก้อาการไตอักเสบ
29.ช่วยแก้ผดผื่นคัน
30.ช่วยลดบวม
31.ช่วยรักษาโรคข้อต่างๆ แก้ขัดข้อ
32.ช่วยรักษาฝี ด้วยการใช้ถั่วเขียวดิบหรือต้มสุก นำมาใช้ตำแล้วพอกเป็นยารักษาภายนอกช่วยในการบ่มหนองให้ฝีกสุก และยังใช้รักษาอาการอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น แก้ท้องร่วง การคลอดบุตรยาก และโรคท้องมาน[8],[9]
33.นำมาใช้ตำพอกแผล
34.ช่วยแก้พิษจากพืช พิษจากสารหนู และพิษอื่นๆ
35.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินบี1 ที่ช่วยในการป้องกันโรคเหน็บชาได้เป็นอย่างดี
36.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยโฟเลทสูง ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารกได้

ขอบคุณข้อมูลจาก : นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะเฟือง

image

วันนี้เรานำสรรพคุณของมะเฟืองและประโยชน์ของมะเฟืองมาฝากทุกคนที่ชอบทานผลไม้กันอีกแล้วค่ะ สำหรับมะเฟืองนั้นจัดเป็นผลไม้ไทยที่มีรสชาติไม่ต่างจาก ลูกพลัม สับปะรด มะนาว มากนัก แม้ว่ารสชาติจะไม่แตกต่างกันมากนักแต่ ประโยชน์ของมะเฟือง ก็มีไปไม่แพ้ ลูกพลัม สับปะรด มะนาว เช่นเดียวกันค่ะ

โดยเมื่อเวลาหั่นผลมะเฟืองจะมีลักษณะเป็นรูปดาวดูสวยงามดีค่ะ แต่วันนี้จะไม่ได้พูดถึงความสวยงามของมะเฟืองหรอกนะแต่จะพูดถึง ประโยชน์ของมะเฟือง และ สรรพคุณของมะเฟือง ต่างหากค่ะ นั้นมารอช้ามาดูสรรพคุณของมะเฟืองและประโยชน์ของมะเฟืองกันเลยค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะเฟือง

นักโภชนาศาสตร์ได้วิเคราะห์คุณค่าทางอาหารของมะเฟืองแล้วพบว่า อุดมไปด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซีน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและพลังงานในปริมาณไม่น้อยเลย

ดังนั้นคุณค่าของมะเฟืองตามสารอาหารที่พบแล้วก็จะเห็นว่า มะเฟืองหนึ่งผลนั้นสามารถที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงควบคุมการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ ควบคุมกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่าย กล่อมประสาทช่วยระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นในผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ

ส่วนน้ำมะเฟืองคั้นนั้น ตำรายาโบราณกล่าวว่า มีสรรพคุณในการแก้ร้อนใน ดับกระหาย ลดความร้อนภายในร่างกายถอนพิษก็ได้ เป็นยาขับเสมหะ ป้องกันโรคโลหิตจาง โรคเลือดออกตามไรฟัน รวมทั้งยังช่วยขับปัสสาวะ และบรรเทาอาการนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้อีกด้วย

เครดิต: ID Line @balance9 (มี@ด้วยนะ)

ความเหมือนที่แตกต่าง……เม็ดบัวไทย-จีน

image

การเลือกกิน เม็ดบัวส่วนใหญ่ที่เราเห็นทั่วไป จะเป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนซึ่งจะมีเมล็ดขนาดใหญ่ ผ่านการกะเทาะเปลือก ดึงดีบัว(ต้นอ่อนที่ฝังอยู่กลางเมล็ดมีสีเขียวเข้ม)ออก และอบแห้ง

ส่วนเม็ดบัวไทยนั้นไม่ค่อยพบวางจำหน่ายในท้องตลาด เนื่องจากมีเมล็ดเล็ก จึงไม่เป็นที่นิยม แต่จากผลการวิจัยของ อาจารย์ปริญดา ที่ศึกษาเปรียบเทียบปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์ในเม็ดบัวไทยและจีนพบว่า เม็ดบัวไทยมีปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์สูงกว่าเม็ดบัวจีน 5-6 เท่า

อาจารย์ปริญดาจึงแนะนำว่า ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับสารแอนติออกซิแดนต์ปริมาณสูงควรเลือกกินเม็ดบัวไทยดีกว่า โดยเฉพาะเม็ดบัวไทยสด

วิธีกินคือ

ลอกเปลือกออกจากเมล็ด โดยไม่ดึงเยื่อหุ้มเมล็ดและดีบัวออก กินสดๆทั้งเมล็ด จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านมะเร็งซึ่งอยู่บริเวณเยื่อหุ้มเมล็ด และดีบัวในปริมาณสูง

ส่วนชนิดอบแห้งนั้น เรานำมาทำอาหารคาวหวานได้หลากหลาย ที่คุ้นเคยกันดี คือ น้ำอาร์ซี เม็ดบัวต้มน้ำตาลทรายแดง ผสมในเต้าฮวย หรือเต้าทึง ข้าวอบใบบัว เป็นต้น

ส่วนเคล็ดลับการเลือกซื้อให้ได้ของสดใหม่ คุณภาพดีมีดังนี้ค่ะ

ชนิดอบแห้ง
1. ควรเลือกเมล็ดที่มีสีเหลืองนวล ถ้ามีสีเหลืองเข้ม แสดงว่าเป็นเม็ดบัวเก่าที่เก็บไว้นานแล้ว เมล็ดไม่แตกหัก และไม่มีฝุ่นละอองปนเปื้อน
2. ขั้วเมล็ดไม่ดำคล้ำ เพราะจะเป็นเมล็ดที่เก็บไว้นานแล้ว
3. ไม่มีกลิ่นสาบหรือเหม็นหื่น

ชนิดฝักสด
เลือกฝักที่มีเมล็ดขนาดใหญ่ สีเขียวอ่อน จะได้เม็ดบัวที่มีเนื้อกรอบ หวานกำลังดี คราวนี้ถ้าเจอฝักบัวสดในตลาดอย่าลืมซื้อติดไม้ติดมือมาคนละสองสามกำนะคะ

ข้อสำคัญ
พยายามเลือกฝักที่แก่ จะได้เม็ดบัวที่โตเต็มที่
ทานวันละไม่น้อยกว่า 20 เม็ด จะทานมากกว่าก็ไม่ห้าม
เพราะเม็ดบัวปกติเป็นของทานเล่นพื้นบ้านเราอยู่แล้ว
ทีนี้คุณก็ได้อาหารบำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แบบธรรมชาติราคาแสนจะคุ้มกับประโยชน์ทีเดียวลองดูนะคะ ปกติมัดละ ๒๐ นาทแต่วันนี้ฟลุคป้าขายให้เหมาให้หมด ๖ มัด ๓๐ บาทค่ะ รู้ประโยชน์แล้วกินกันนะค่ะ

โดย ทางแพทย์สายพุทธ
ขอขอบคุณข้อมูลจากชีวจิต