ใครมีไฝตรงไหน ส่องกระจก เช็คให้ทั่วร่าง เพราะไฝสามารถบอกลักษณะนิสัย ของเนื้อคู่เราได้ กระซิบเบาๆ ขอบอกว่าแม่นมากๆ เลยหละ
1. ไฝที่ศีรษะ
ใครมีไฝตรงไหน ส่องกระจก เช็คให้ทั่วร่าง เพราะไฝสามารถบอกลักษณะนิสัย ของเนื้อคู่เราได้ กระซิบเบาๆ ขอบอกว่าแม่นมากๆ เลยหละ
1. ไฝที่ศีรษะ
เมื่อถามว่าที่มาของการใช้ ย ในคำว่าไทยตามความหมายที่สองนั้นมาจากไหน จากเอกสารของสำนักงานคณะกรรมการเสริมสร้างเอกลักษณ์แห่งชาติที่ชื่อว่า “เอกสารสดุดีบุคคลสำคัญ” ได้อ้างถึงข้อวินิจฉัย ๒ ข้อซึ่งนำมาจากไว้ว่าบันทึกสมาคมวรรณคดี ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๗๕ ดังนี้
“๑. พระเจนจีนอักษร (สุตใจ ตัณฑากาศ):
ก.) คำว่า ไต คงจะเล็งเอาอักษรจีนที่ภาษาแต้จิ๋วอ่านว่า ไต๋ ฮกเกี้ยนอ่านว่า ไต กวางตุ้ง ปักกิ่ง กลาง อ่านว่า ตา หรือ ต๋า ในหนังสือฆังฮียี่เตี้ยน แปลว่า แรกเริ่ม ใหญ่ มหึมา
ข.) คำว่า ไถ่ คงจะเล็งเอาอักษรจีน ซึ่งภาษาจีนทุกภาษาอ่านว่า ไถ่ ในหนังสือฆังฮียี่เตี้ยนแปลว่า ใหญ่ที่สุด
หาก ไท เนื่องมาจากภาษาจีนแล้ว ผู้บัญญัติท่านคงเล็งเอาคำว่า ไถ่ เพราะแปลว่าใหญ่ที่สุด และยังเป็นนามสกุลคนโบราณด้วย ครั้นสืบมาหลายชั่วคน คำว่า ไถ่ ก็แผลงเป็น ไท ส่วนคำว่า ไท้ เป็นภาษาไทย แปลว่าผู้เป็นใหญ่ คงแผลงจากคำว่า ไถ่ หรือ ไท
สำหรับ เหตุผลที่เขียนว่า ไทย (มีตัว ย) หนังสือมูลบทบรรพกิจ ฉบับพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย) กล่าวว่า คำไม้มลายเป็น 2 อย่าง คำไม้มลายที่มี ตัว ย สะกด คำนั้นเป็นภาษามคธอย่าง หนึ่ง คำที่มีแต่ไม้มลายล้วนด้วยเป็นคำไทยอย่างหนึ่ง
การเขียนว่า ไท แล้วเอาตัว ย สะกด ก็ยังอ่านว่า ไทย หรือผู้มีอำนาจแผนกอักษรศาสตร์สมัยต่อมา เห็นว่าภาษามคธเป็นภาษาบาลีอันขลัง จึงใช้ ตัว ย สะกดคำว่า ไท ให้เขียนว่า ไทย
๒. พระพินิจวรรณการ (แสง สาลิตุล):
ตรวจดูภาษาไทยในจารึกสุโขทัยก่อนหลักที่ 3 มีคำว่า ไท ใช้โดยมีตัว ย แถมก็มี ไม่มีตัว ย แถมก็มี ได้แต่สันนิษฐานโดยประมวลความในจารึก
สันนิษฐานว่าตัว ย เกิดเมื่อจารึกเป็นภาษามคธ (หลักที่ 6) มีคำว่า ลีเทยฺยนามโก ธมฺมราชา เมื่อเรียงพระนามพระเจ้าแผ่นดินลงเป็นภาษามคธมี ตัว ย แล้ว ภาษาไทยก็เลยใส่ตัว ย ลงไปด้วย เพื่อให้พระนามขึ้นสู่ภาษาอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งนับถือกันอยู่มาก
แต่คำว่า ไท ที่มิไช่นามพระเจ้าแผ่นดินยังปล่อยให้ล้นอยู่ก่อน เห็นจะมาเริ่มใส่ตัว ย เติมภายหลังแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถลงมา
ส่วนคำว่า ไท้ คือ ไท แต่ทำไม ไท้ จึงไม่ถูกเติมตัว ย ข้อนี้ก็ต้องตอบโดยหลักว่าภาษามคธไม่มีไม้ไท และความรู้สึกในเวลานี้ดูเหมือนจะแปลกันว่าคำแทนพระนามพระเจ้าแผ่นดิน ใช้ในทางแทนเทวดาก็มี”
อังกอร์ อีวี 2013. เมดอินแคมโบเดีย(เขมร)
ราคาไม่เกิน10000us
นวัตรกรรมของคนเขมรแท้ๆ ตอนนี้เขมรชื่นชมมาก ออกแบบงามมากประตูยกปีกแบบรถมนุษย์ค้างคาว รถไฟฟ้าของเขมร คันละ 9 หมื่นกว่าบาท ชาร์ทครั้งหนึ่งวิ่ง 300 กม. คนขับไม่ต้องรอชาร์ทเปลี่ยนแบตแล้ววิ่งต่อไปทันที ตัวท๊อปประมาณแสนสอง น่าใช้มาก ……..เมืองไทย ดีทรอยต์ของเอเซีย เป็นไงบ้าง ชอบดูถูกเพื่อนบ้านดีนัก
แสบเข้าไปถึงทรวง จะโทษใครดี…เห็นทีคนไทยต้องกลับมาพิจารณาตนเองอีกครั้ง
=================================
นายเซ็ทซึโอะ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นประจำกรุงเทพ
(Japan External Trade Organization,Bangkok : JETRO Bangkok)
ระบุว่า ไทยอาจไม่เป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุน เหมือนที่ผ่านมาในสายตาของนักลงทุนญี่ปุ่น
โดยได้แสดงทรรศนะถึง “จุดอ่อน” ของคนไทยไว้ 10 ข้อ คือ
1 . คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก
โดยเฉพาะ หน้าที่ต่อสังคม คือ เป็นประเภท มือใครยาวสาวได้สาวเอา
เกิดเป็น ธุรกิจการเมืองธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติ ล้าหลังไปเรื่อยๆ
2. การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง
ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่าง ๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง
จึงตามหลังชาติอื่น คนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก เพื่อโอกาสที่ดีกว่า
3. มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน
แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงาน แบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน
มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน
4. ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้า หรือทำด้วยความเกรงใจ
ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับ สัญญาหรือข้อตกลงอย่างเคร่งครัด
เพราะหมายถึง ความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อย ๆ
5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกล
จะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง และชุมชนซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม
6. การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการ ไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก
ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจ หรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน
ไม่มีมาตรฐาน
7. อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี้ยงเป็นศรีธนญชัย ยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน
โดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูก แล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่า
ผู้ก่อการร้าย ดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว
8. เอ็นจีโอค้านลูกเดียว เอ็น จีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับ ผลประโยชน์ บ่อยครั้งที่ต้องเสียโอกาสอย่างมหาศาล
เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริง ๆ ไม่ได้พูดกัน
9. ยังไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือ ในเวทีการค้าระดับโลกยังขาดทักษะและทีมเวิร์คที่ดี
ทำให้สู้ประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้
10. เลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง
เพราะการเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูก ช่วยตัวเอง ไม่กระตือรือร้น ในการช่วยตนเองขวนขวาย
แสวงหา ค้นหาตัวเองและไม่สอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม
———————————-
แรงมากครับ และตรงทุกข้อ
คำถาม?…แล้วเรา เริ่มต้นแก้ไขที่ข้อไหนก่อนดีครับ….เริ่มข้อที่ใกล้ตัวเรา เป็นกับตัวเรา. แนะนำลูกน้อง และคนรอบข้างที่เห็นด้วยกับข้อความนี้ครับ
รักและปรารถนาดีกับทุกท่าน เพื่อคนไทยที่ดี
#ขอนุญาติอีกสักครั้งเพื่อเตือนสติ
ภรรยาได้โทรหาสามีที่ทำงานอยู่กันคนละแห่ง
ภรรยา : พี่จ๋า.. คืนนี้พี่มารับน้องได้มั๊ยคะ
สามี : อะไรอีกล่ะ.. ก็เห็นกลับรถเมล์เองทุกคืนนิ
ภรรยา : พอดี คืนนี้น้องมีเซอร์ไพรส์ค่ะ
งั้นน้องรอพี่ที่ป้ายรถเมล์ใกล้ ๆกับออฟฟิศพี่นะ
สามี : พี่งานยุ่ง น่ารำคาญจริงๆ โอเคๆ งั้นอีก 45 นาที พี่ไปรับ…
(จากนั้นสามีก็ปิดเครื่องโทรศัพท์ด้วยอารมณ์เสีย
ที่ภรรยาโทรมาหาสร้างความรำคาญ ขณะทำงานอยู่)
หลังจากนั้น 2 ชม.
สามีก็ออกจากออฟิศขับรถไปป้ายรถเมล์ที่นัดไว้..
เมื่อไปถึงป้ายรถเมล์ก็ปรากฏว่าภรรยาไม่อยู่ที่ป้ายรถเมล์แล้ว
สามีก็จึงได้ขับรถกลับบ้านทันทีเพราะคิดว่าภรรยาคงกลับไปแล้ว ..
เมื่อมาถึงบ้าน สามีก็รู้สึกแปลกใจ เมื่อเห็นผู้คนมากมาย
ที่บ้านของเขา ขณะนั้นแม่ยายของเขาก็ได้รีบวิ่งมาหาด้วย
น้ำตานองหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่น เครือว่า…
“ไปไหนมา ทำไมเพิ่งกลับ
รู้มั๊ยว่าเมียแก ถูกฆ่าข่มขืน ก่อนหน้านั้น
เมียแกโทรมาบอกว่า
แกจะไปรับ แต่ความตายกลับไปรับเมียแกซะก่อน”
สามี ถึงกับล้มทั้งยืนด้วยความตกใจ เศร้าโศรกเสียใจ
กับความไม่เอาไหนของเขา ปล่อยให้ภรรยารออยู่ตามลำพัง
ที่ป้ายรถเมล์และตนเองก็ปิดโทรศัพท์มือถือด้วยความรำคาญ
จากนั้น สามีก็ได้ เปิดเครื่องมือถือ
ก็ปรากฏข้อความขึ้นมา 3 ข้อความจากภรรยาของเขา
เวลา 21.55 : พี่จ๋า.. ทำไมพี่มาช้าจัง
เวลา 22.05 : ความจริงน้องมีอะไรจะมอบให้พี่
เป็นของขวัญครบรอบวันแต่งงาน
เวลา 22.15 : พี่.. มีใครก็ไม่รู้มองน้องอยู่ น้องกลัวจังเลยค่ะ
จากนั้น สามีก็ได้ร้องไห้โฮออกมาด้วยความเสียใจ
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ความตายได้มารับเธอไปก่อน …
เราอาจให้ความสำคัญกับงาน กับเพื่อน
หรือสิ่งต่าง ๆ มากมายรอบตัว
แต่จงอย่าลืม ที่จะเอาใจใส่ความรู้สึก
และให้ความสำคัญกับคนที่เรารักและรักเราโดยเฉพาะ
ต่อคนในครอบครัว… ตราบใดที่เขายังมีลมหายใจอยู่
อย่ารอให้ทุกอย่างสายเกินไป ^^:
ពុកប្រាប់ថា គ្រាន់តែមើលឃើញដំនេកគឺអាចដឹ
ទោះជានៅក្រៅផ្ទះ ក្នុងសង្គមកូនជា មន្រ្តី ឧកញ្ញ៉ា ឬជាអ្នករើសសំរាម ជាកម្មករសំណង់ក៏ដោយ ក៏កូននៅតែជាសសរទ្រូងរឹងមាំក្នុងគ្រួសាររបស់កូនដែរ។ ទោះជាប្រពន្ធរបស់កូនជាមនុស្សអង់អាច មានជំនាញ មានការងារល្អ ឬអាចធ្វើជាជាងសំណង់ ជួសជុលភ្លើងបានក៏ដោយ ក៏កូនត្រូវតែបំពេញកាតព្វកិច្ចជា ប្តី ឪពុកដែរ ព្រោះវានឹងបង្ហាញពីភាពស្មើគ្នា និងការចេះចែករំលែករវាងប្តីប្រពន្ធ។
ក្រោយពេលរៀបការរួច នឹងមានចំនួនលើសពីមួយដងដែលកូ
ពុកក៏ប្រាប់ថា រយៈពេលនាងមានផ្ទៃពោះ គឺជារយៈពេលដែលពិបាកបំផុត។ នាងត្រូរែកពុនឧបស័ក្ក ឆ្លងកាត់គ្រោះថ្នាក់ដើម្បីនាំយកទេវបុត្រ ទេពធិតាជាទីស្រលាញ់ និងត្រេកអរមកជូនគ្រួសារ ហេតុនេះហើយចូរកូនកុំដកដង្ហើ
រឿងម៉ែក្មេក និងកូនប្រសារស្រី ជារឿងមួយដែលមានតៗ តាំងពីយូរណាស់មកហើយ ក៏ប្រៀបបានដូចរឿងលុយកាក់អញ្ចឹងដែរ ហេតុនោះ កូនកុំធ្វើឲ្យម៉ែគិតថាបានបា
” ស្រ្តីប្រៀបបានដូចបុប្ផា សម្រាប់ស្រលាញ់ មិនមែនសម្រាប់យល់ទេ ប៉ុន្តែបើកូន មិនយល់ កូនក៏មិនអាចស្រលាញ់បានឡើយ”។
ต้นไม้แก่ ขอฝนจากเมฆก้อนน้อย
เมฆก้อนน้อยตอบเพียงว่า
น้ำฝนมีอยู่น้อย
กลัวว่ามันคงจะไม่พอให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ
วันต่อมา
เมฆก้อนน้อยก็ยังคงบอกเช่นเดิม
มันน้อยไป จึงไม่พร้อมที่จะให้
เมฆก้อนน้อยจึงเดินทาง และพยายามสะสมฝน
เพื่อที่จะให้มันมากพอ พอที่จะทำให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ
เมื่อมีปริมาณมากพอ
เมฆน้อยจึงกลับมา
แต่สิ่งที่พบข้างหน้า
มีเพียงซากต้นไม้แก่ที่ตายแล้ว
เมฆน้อยได้แต่ร้องไห้แล้วถามว่าทำไม
ความพยายามของฉัน ไม่มีค่าเลยเหรอ
ชายหนุ่มที่นั่งใต้ต้นไม้จึงได้แหงนหน้า
แล้วบอกเมฆน้อยไปว่า
” การที่เราจะให้อะไรแก่ใครสักคนที่เรารัก
มันไม่ต้องรอให้มากพอหรือรอความพร้อมอะไรหรอก
ให้เท่าที่มี ก็ทำให้คนรับชื่นหัวใจได้
ความพยายามเป็นสิ่งที่ดี
แต่มันก็มีเวลาเป็นเงื่อนไขนะ
อย่าไปรอให้รวย ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก
อย่าไปรอให้พร้อม ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก
เพราะคนที่เรารัก อาจไม่มีเวลามากพอที่รอเรา ”
แล้วก่อนที่ต้นไม้แก่จะจากไป
เขาฝากบอกเธอไว้ว่า ถ้าเห็นเธอผ่านมา
ให้บอกเธอว่า เขารักเธอ
เมฆน้อยได้แต่หลั่งน้ำตาออกมาเป็นเม็ดฝนอย่างไม่ขาดสาย
ให้กับต้นไม้ที่ไม่มีวันแตกใบให้ได้เห็นอีกต่อไป ตลอดกาล
เมื่อตอนที่นก
ยังมีชีวิตอยู่..
มันจะกินมดเป็นอาหาร
แต่เมื่อมันตาย..
มันก็จะถูกมดกินเป็นอาหารเช่นกัน
ต้นไม้หนึ่งต้น
สามารถทำเป็นไม้ขีดไฟได้เป็นล้านๆก้าน
แต่ไม้ขีดไฟเพียงหนึ่งก้าน
ก็สามารถเผาต้นไม้ได้เป็นล้านๆต้นเช่นกัน
จงอย่ามองข้ามคนที่ด้อยกว่า เพราะหลงตัวเองว่ายิ่งใหญ่
อย่ามองข้ามลูกค้ารายเล็ก
ไม่เห็นคุณค่าของพวกเขา
เพราะสักวันหนึ่งเขาอาจเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเราก็เป็นได้
อย่าคิดว่าเราแข็งแรงไม่มีวันป่วยเพราะอายุยังน้อย
โลงศพไม่ได้มีไว้ใส่คนแก่แต่มีไว้ใส่คนตาย
อย่าคิดว่าฉันรวยใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย
สักวันเงินเพียง1พัน
อาจมีค่ามากมายในวันตกอับก็ได้
ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต
ใหญ่ได้ก็เล็กได้
รวยได้ก็จนได้
แข็งแรงได้ก็ป่วยได้
เกิดได้ก็ต้องตายได้
ทุกคนไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า
ท่องจำให้ขึ้นใจ
“อย่าหลงตนอย่าลืมตัว”
และที่สำคัญ
“ข้าจะไม่ประมาท”
กับชีวิตอีกต่อไป..
จะไม่ว่างแค่ไหนก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี
แม้ว่าบางครั้งติดต่อเพื่อนได้ยาก
แต่ก็ให้คิดถึงเสมอ..
ขอส่งให้คนที่รักและเพื่อนที่ดีทุกคน (love)
ขอให้ทุกท่านลองอ่านดูเนาะ…
…มีหลวงพ่อองค์หนึ่งซึ่งเลื่องลือกันว่า เป็นพระที่มีแต่ความสุข ไม่เคยมีความทุกข์ วันหนึ่ง โยมมานิมนต์ท่านไปเทศน์ที่บ้าน บอกท่านว่าจะมารับแต่เช้า หลวงพ่อก็นั่งรอจนสายโยมก็ไม่มาสักที ท่านจึงว่า “ไม่มาก็ดีเหมือนกันเนาะ เราฉันท์ข้าวของเราดีกว่า”
ท่านฉันท์ข้าวได้ไม่กี่คำ โยมก็มารับพอดี กราบกรานขอโทษที่มาช้าเหตุเพราะว่ารถเสีย
หลวงพ่อจึงหยุดฉันท์ “ก็ดีเนาะ ไปฉันที่งานเนาะ”
หลวงพ่อนั่งรถไปได้สักพัก เครื่องรถก็ดับ คนขับบอก “รถเสียครับ”
หลวงพ่อก็ว่า “ดีเนาะ ได้หยุดพักชมวิวเนาะ”
คนขับง่วนอยู่กับรถพักใหญ่ ทำอย่างไรเครื่องก็ไม่ติด จึงออกปากขอร้องให้หลวงพ่อช่วยเข็นรถ ความจริงหลวงพ่อก็แก่แล้ว ข้าวก็ฉันท์ได้ไม่กี่คำ แต่แทนที่จะบ่น ท่านกลับยิ้มแล้วบอกว่า “โอ้ดีเนาะ ได้ออกกำลังเนาะ”
แล้วท่านก็ขมีขมันออกแรงช่วยเข็นรถจนวิ่งได้ ปรากฏว่ากว่าจะถึงบ้านงานก็เลยเที่ยงแล้ว หมดเวลาฉันท์อาหารไปแล้ว เป็นอันว่า วันนั้นหลวงพ่ออดข้าวทั้งสองมื้อ แต่เนื่องจากได้เวลาเทศน์แล้ว เจ้าภาพจึงนิมนต์ท่านขึ้นเทศน์ทันที หลวงพ่อก็สนองด้วยดี “ดีเนาะ มาถึงก็ได้ทำงานเลยเนาะ”
ว่าแล้วท่านก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์จนจบ มีคนชงกาแฟถวาย แต่เผลอตักเกลือใส่แทนน้ำตาล หลวงพ่อจิบกาแฟไปได้หน่อยก็บอกโยมว่า “ดีเนาะ” แล้วก็วาง ธรรมเนียมของญาติโยมที่ศรัทธาเกจิอาจารย์ เวลาท่านฉันท์อะไรเหลือ ลูกศิษย์ก็อยากได้บ้าง ถือเป็นสิริมงคล แต่ลูกศิษย์ดื่มกาแฟแค่อึกแรกเท่านั้นก็พ่นพรวดออกมา
“เค็มปี๋เลยหลวงพ่อ ฉันท์เข้าไปได้ยังไง !”
“ดีเนาะ ฉันกาแฟหวานๆ มานาน”
หลวงพ่อว่า “ฉันเค็มๆ มั่งก็ดีเหมือนกัน”
ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน จะแย่แค่ไหน หลวงพ่อก็มองเห็นแต่แง่ดี ท่านจึงไม่มีความทุกข์เลย
เคยมีลูกศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งไปทำผิด ถูกจับติดคุก ท่านก็ว่า “ก็ดีเนาะ มันจะได้ศึกษาชีวิต”
หลวงพ่อดีเนาะมิใช่เป็นหลวงตาธรรมดาๆ หากเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีชื่อของจังหวัดอุดรธานี ที่ใครๆ ก็รู้จัก ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาและผู้เคารพนับถือทั่วประเทศ การประพฤติปฏิบัติของท่านเป็นที่เล่าขานกันมากมายหลายเรื่อง เช่น มีผู้เล่าว่า กุฏิของท่านเป็นที่จับตาของโจรผู้หนึ่ง เพราะเห็นว่ามีสิ่งของมีค่ามากมายที่ญาติโยมนำมาถวาย วันหนึ่งได้โอกาสบุกเข้าประชิดตัวหลวงพ่อบนกุฏิ พร้อมปืนในมือ “นี่คือการปล้น อย่าได้ขัดขืนนะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อแทนที่จะตกใจหรือโมโห กลับยิ้มให้โจรด้วยอารมณ์ดี และกล่าวกับโจรอย่างนิ่มนวลว่า “ปล้นก็ดีเนาะ”
โจรแปลกใจในคำพูดและท่าทีของหลวงพ่อ จึงพูดว่า “ถูกปล้นทำไมว่าดีล่ะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อตอบว่า “ทำไมจะไม่ดีล่ะ ก็ข้าต้องทนทุกข์ทรมานเฝ้าไอ้สมบัติบ้าๆ นี้ตั้งนานแล้ว เอ็งเอาไปเสียให้หมด ข้าจะได้ไม่ต้องเฝ้ามันอีก”
โจรตอบว่า “ไม่ใช่ปล้นอย่างเดียว ฉันต้องฆ่าหลวงพ่อด้วย เพื่อปิดปากเจ้าทรัพย์”
หลวงพ่อก็ตอบเหมือนเดิม “ฆ่าก็ดีเนาะ”
โจรแปลกใจจึงถามว่า “ถูกฆ่ามันจะดีได้อย่างไรล่ะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อตอบ “ข้ามันแก่แล้ว ตายเสียได้ก็ดี จะได้ไม่ทุกข์ร้อนอะไร”
โจรรู้สึกอ่อนใจเลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ฆ่าหรอก”
หลวงพ่อก็พูดเหมือนเคย “ไม่ฆ่าก็ดีเนาะ”
โจรถามอีก “ทำไมฆ่าก็ดี ไม่ฆ่าก็ดีอีก”
หลวงพ่อตอบว่า “การฆ่ามันเป็นบาป เอ็งจะต้องใช้เวรทั้งชาตินี้และชาติหน้า อย่างน้อยตำรวจเขาจะต้องตามจับเอ็งเข้าคุก เข้าตะราง หรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย ตายแล้วก็ยังตกนรกอีก”
ได้ยินเช่นนี้โจรเลยเปลี่ยนใจ “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ปล้นหลวงพ่อแล้ว”
หลวงพ่อก็ตอบอีกว่า “ไม่ปล้นก็ดีเนาะ”
มีผู้เล่าต่อมาว่า ในที่สุดโจรคนนั้นก็สำนึกบาปเข้ามอบตัวกับตำรวจ เมื่อพ้นโทษออกมาก็ขอให้หลวงพ่อบวชให้และอยู่ในผ้าเหลืองเป็นเวลานาน ส่วนหลวงพ่อมีคนให้ฉายาท่านว่า “หลวงพ่อดีเนาะ” มาจนทุกวันนี้
หลวงพ่อดีเนาะ แห่งวัดมัชฌิมาวาส อุดรธานี เป็นผู้ที่มองเห็นข้อดีของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน อีกทั้งท่านยังมองคนอื่นในแง่ดีเสมอ ไม่เคยว่าใครหรือจับผิดใคร เจอปัญหาอะไรๆ ก็พูดว่า “ดีเนาะ” ในที่สุดจึงได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็น “พระเทพวิสุทธาจารย์ สาธุอุทานธรรมวาที” ซึ่งแปลว่า ผู้สอนธรรมด้วยการเปล่งคำว่าดีเนาะ
“พระเทพวิสุทธาจารย์ สาธุอุทานธรรมวาที”
วัดมัชฌิมาวาส ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี
เขียนเล่าเรื่องโดย พระไพศาล วิสาโล
*** อ่านแล้วชอบมากเลยขอนำมาแชร์ต่อเนาะ..
ส่วนนี้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมของหลวงพ่อท่าน
จ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาสอุดรธานีรูปที่ 3
ใน ภาคอีสาน มีเกจิอาจารย์จำนวนมากมายหลายสิบองค์ ที่มีลูกศิษย์ที่นับถือกราบไหว้สักการะ ซึ่งเกจิอาจารย์ที่ว่านั้น ส่วนมากนั้นเป็นพระที่อยู่ในสายของธุดงค์กรรมฐานเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นท่านหลวงปู่มั่น ภูมิทตฺโต, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่วัน วัดถ้ำส่องดาว จังหวัดสกลนคร, หลวงปู่เครื่อง ธมฺมจาโร วัดเทพสิงหาร อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม จังหวัดเลย เป็นต้น
ในจังหวัดอุดรธานี มีเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่ เป็นพระสงฆ์หรือเป็นพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่มีลูกศิษย์ลูกหาไม่น้อย พระเกจิอาจารย์รูปนั้นไม่ได้เป็นพระเกจิอาจารย์ที่อยู่ในสายของมหายาน ท่านคือ พระเดชพระคุณพระเทพวิสุทธาจารย์ หรือ เป็นที่รู้จักกันอย่างดีว่า “หลวงปู่ดีเนาะ” แห่งวัดมัชฌิมาวาส อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี แต่ถ้าเอ่ยชื่อของพระเดชพระคุณท่าน โดยเฉพาะในเขตเทศบาลแล้ว ชื่อของพระเดชพระคุณพระเทพวิสุทธาจารย์ เจ้าอาวาสองค์ที่ 3 แห่งวัดมัชฌิมาวาสนั้น น้อยคนที่จะรู้ว่าท่านเป็นใคร แต่ถ้าเอ่ยชื่อถึง “หลวงปู่ดีเนาะ” แล้วทุกคนจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี เพราะท่านหลวงปู่ดีเนาะที่ว่านี้ ท่านเป็นพระสงฆ์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า พระเกจิอาจารย์ที่มีประชาชนเหล่าพุทธศาสนิกชนให้ความเคารพ นับถือมากไม่แพ้พระเกจิอาจารย์รูปอื่น ๆ ในประเทศไทยเลยทีเดียว
พระเดช พระคุณพระเทพวิสุทธาจารย์ หรือ หลวงปู่ดีเนาะ นั้น การติดตามสืบหาอัตชีวประวัติส่วนตัวของท่านนั้น ไม่ค่อยจะมีปรากฏให้เห็นมากนัก เพราะเนื่องจากว่าท่านจะไม่ค่อยทิ้งหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของท่าน เอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ทราบ จะมีบ้างก็เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้รับการรวบรวมจาก พระเดชพระคุณพระธรรมปริยัติโมลี เจ้าคณะภาค 8 เจ้าอาวาสวัดมิชฌิมาวาสองค์ที่ ๕ เก็บไว้ในหนังสือประวัติของวัดมัชฌิมาวาส
พระเดชพระคุณพระเทพวิสุทธาจารย์ หรือหลวงปู่ดีเนาะ นามเดิมว่า บุ ปลัดกอง เกิดที่บ้านดู่ ตำบลบ้านดอน อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2415 บิดาชื่อ นายทา ปลัดกอง มารดาชื่อ นางปาน ปลัดกอง เมื่อมีอายุได้ 19 ปี ครอบครัวของท่านได้อพยพย้ายถิ่นฐานอาศัยจากจังหวัดนครราชสีมา มาอยู่ที่บ้านทุ่งแร่ ตำบลหมูม่น อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ในปัจจุบันนี้
เมื่ออายุได้ 22 ปี ได้บวชเป็นสามเณรที่วัดบ้านโนนสว่าง บ้างทุ่งแร่ นั่นเอง และต่อมาอีกหนึ่งปี ท่านก็ได้รับ การอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดบ้านบ่อน้อย ตำบลเชียงยืน อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี มีพระอธิการกัน วัดสระบัว บ้านสร้างแป้น เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “ปุญญสิริ” เมื่ออุปสมบทเป็น พระภิกษุแล้วนั้น ได้ไปจำพรรษา อยู่ที่วัดบ้านโนนสว่าง บ้านทุ่งแร่ อยู่ 3 พรรษาจึงได้ย้ายสำนัก ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดมัชฌิมาวาส เมื่อ พ.ศ. 2440
พระเดชพระคุณพระเทพวิสุธาจารย์ ได้เลื่อนสมณศักดิ์ตามกาลเวลาเรื่อย ๆ จนกระทั่งสุดท้ายท่านได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้น เทพ มีราชทินนามว่า “พระเทพวิสุทธาจารย์ สาธุอุทานธรรมวาที ปูชนียฐานประยุต เชษฐวุฒอิสาน คณาธิกร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี” และซึ่งก่อนหน้านั้นท่าน ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส เมื่อยังคงเป็นพระบุ (ปุสิริ) เมื่อ พ.ศ.2451 นับว่าเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 3 ของวัดมัชฌิมาวาส
ในขณะนั้นที่ท่านหลวงปู่ดีเนาะดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัด มัชฌิมาวาสนั้น ท่านได้ทำการบูรณะวัดมัชฌิมาวาสในด้านต่าง ๆ ให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นถาวรวัตถุและเสนาสนะ เช่น พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ โรงเรียนปริยัติธรรมและกุฎิของพระลูกวัดจำนวนมาก ที่เห็นในปัจจุบันนี้นั้นล้วนแต่ได้รับ การบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นในสมัยที่ท่านหลวงปู่ดีเนาะทั้งสิ้น นอกจากในด้านถาวรวัตถุของวัดแล้ว ท่านหลวงปู่ดีเนาะ ท่านก็ยังหันมาพัฒนาในด้านของการศึกษาของพระภิกษุสามเณรที่อยู่ในวัดแห่งนี้ โดยการจัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมขึ้นมา สอนนักธรรมบาลีตามหลักสูตรของราชการคณะสงฆ์ ตั้งแต่นักธรรมชั้นตรีถึงนักธรรมชั้นเอก และประโยค ๑-๒ ถึงประเปรียญธรรม 6 ประโยค
หลวงปู่ดีเนาะหรือพระเดชพระคุณพระเทพวิสุทธาจารย์ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส ตั้งแต่ พ.ศ.2451 จนกระทั่ง พ.ศ.2513 จึงได้ถึงแก่มรณภาพลง ตรงกับวันที่ 10 มีนาคม 2513 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 4 ปีระกา เวลา 09.10 น. ด้วยโรคชรา รวมอายุท่านหลวงปู่ได้ 98 ปี เป็นเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส เป็นเวลา 63 ปี พรรษาได้ 76 พรรษา
หลาย ๆ คนอาจจะมีความสงสัยว่า เป็นเพราะเหตุใด พระเดชพระคุณพระเทพวิสุทธาจารย์ จึงมีฉายาอีกว่า “หลวงปู่ดีเนาะ” ความเป็นมาของฉายาดังกล่าวนั้น เป็นที่กล่าวขานกันในหมู่ลูกศิษย์และประชาชนทั่วไป ที่เคยใกล้ชิดกับท่านกล่าวว่า ตามปกติวิสัยของท่านหลวงปู่ดีเนาะนั้น ท่านชอบอุทานหรือกล่าวคำว่า “ดีเนาะ” และคำว่า “สำคัญเนาะ” และท่านจะเรียกคนทั่วไปรวมทั้งพระภิกษุและสามเณร หรือคฤหัสถ์ ว่า “หลวง” เวลาท่านหลวงปู่ดีเนาะจะพูดคุยกับใครก็ตาม ท่านก็จะออกปากเรียกคนที่ท่านคุยด้วยว่า “หลวง” และเมื่อท่านจะต้องกลายเป็นผู้รับฟังนั้น ท่านก็จะมีคำอุทานวาจาว่า “ดีเนาะ” อยู่เป็นอาจินต์ ไม่ว่าเรื่องที่ท่านได้รับฟังนั้นจะเป็นดี หรือเรื่องร้ายเพียงใดก็ตาม ท่านหลวงปู่ดีเนาะก็จะเอ่ยปากอุทานว่า ดีเนาะ หรือ สำคัญเนาะ จากคำอุทาน หรือคำพูดที่ท่านหลวงปู่ติดปากนี้เอง ประชาชนและลูกศิษย์ของท่านหลวงปู่ จึงตั้งฉายาหรือสมานาม ท่านหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ดีเนาะ” แม้กระทั่งในการได้รับ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ของท่านนั้น ราชทินนามของท่านก็ยังมีคำว่า “สาธุอุทานธรรมวาที” ซึ่งแปลว่า “ดีเนาะ” อยู่ในราชทินนามของท่านด้วย
អ្នកដែលចេះភាសាថៃហើយសាកអាន ហ្វឹកគន្លាស់អណ្ដាត Tongue Twister បែបថៃ មើលណា។
Level 1 វគ្គទី 1
ท่องประโยคตามข้อ 1-23 ให้ได้ก่อน
________________________
1.ระนอง ระยอง ยะลา
2.ยักษ์ใหญ่ไล่ยักษ์เล็ก
3.ชามเขียวคว่ำเช้า ชามขาวคว่ำค่ำ
4.เช้าฟาดผัดฝัก เย็นฟาดฝักผัด
5.ทหารบก ถือปืน แบกปูน ไปโบกตึก
6.ยานัดหมอมีแก้ฝีแก้หิด ยานัดหมอชิดแก้หิดแก้ฝี
7.หมู หมึก กุ้ง
8.ปิดประตูโบสถ์ เปิดประตูโบสถ์
9.รถยนต์ล้อยาง รถรางล้อเหล็ก
10.กินมันติดเหงือกกินเผือกติดฟัน กินทั้งมันกินทั้งเผือกติดทั้งเหงือกติดทั้งฟัน
11.หมอนลอยน้ำมาว่ายน้ำไปถอยหมอน
12.สำลีขายหวย สำรวยขายสี สำลีเล่นหวย สำรวยเล่นสี
13.ไปยะลา มาระยอง ฉลวยขึ้นล่องระหว่างระยอง ยะลา
14.ยายกินลำใยน้ำลายยายใหลย้อย
15.ยายมีขายหอยยายมอยขายหมีขนหมีของยายมอยติดอยู่บนหอยของยายมี
15.1ยายมีขายหอยยายมอยขายหมีวันดีคืนดีหอยยายมีไปกัดหมียายมอย
16.กวางขาวเข้ากลางเขา คว้าขวานขว้างกวางขาว
17.อาเฮียหลี อาหลีเฮีย
18.บริษัท กำจัดจำกัด มหาชน
19.หมึกหกเลอะมุ้ง มุ้งเลอะหมึกหมด
20.ตาตี๋ตกต้นตาลตาตี๋ตายใต้ต้นตาล
21.ไม้ขัดแตะแหกแตะ แหกดูรูแตะ
22.เด็กเล่นเหล็กดัด
23.ตาตี๋ตกต้นตาลตอตาลตำตูดตาตี๋ตายใต้ต้นตาล
Level 2 វគ្គទី ២
จับเวลา+บันทึกผล(รอบหลังๆต้องใช้เวลาน้อยลงจึงจะได้ผล)
________________________
ยายกินลำไย น้ำลายยายเลยไหลย้อย ไปให้ยานัดหมอมีแก้ฝีแก้หิด ยานัดหมอชิตแก้หิดแก้ฝี ช่วยแก้ให้ทีโดยการทานยา ชามเขียวคว่ำเช้า ชามขาวคว่ำค่ำ ที่จังหวัดระนอง ระยอง ยะลา ห้ามทานอาหารอะไรเลยนอกจากเช้าฟาดผัดฟัก เย็นฟาดฟักผัด ละเลงด้วยหมู หมึก กุ้ง กุ้ง หมึก หมู หมู กุ้ง หมึกหมึกหกเลอะมุ้ง มุ้งเลอะหมึกหมด อาหารเหล่านี้มีขายที่บ้าน ทหารถือปืนแบกปูนไปโบกตึก สิ่งที่จะต้องทำ คือ น้ำหยดลงหิน แลบลิ้นเลียหิน กินกล้วยเครือนี้ เครือใหญ่ เครือหลวง ข้าวโพดอบเนย โรยเกลือ ยายมีเล่นหอย ยายมอยเล่นหมี ต่อด้วยวันไหนอากาศดีดี วันไหนอากาศดีดี หอยของยายมีต่อยหมียายมอย หมีของยายมอยต่อยหอยยายมี หินยายมีเลี้ยงหอย ยายมอยเลี้ยงหมี ในถ้ำมีผี มีหมี มีหอย หมอนลอยน้ำมา ว่ายน้ำไปถอยหมอน น้ำมันหอยตราหมี น้ำมันหมีตราหอย
ปิดประตูโบสต์เปิดประตูโบสต์ หูหมีอยู่ข้างหูหมู หูหมูอยู่ข้างหูหมี 2หูรวมกันจู๋จี๊ดู๋ดี๊หูหมีหูหมู งัว เงีย งง งวย มัน มูมมาม มอมแมม เหมือน มัมมี่ จะกินมันติดเหงือก กินเผือกติดฟัน กินทั้งมันกินทั้งเผือก ติดทั้งเหงือกติดทั้งฟัน ทหารถือปืนแบกปูนไปโบกตึก ยักษ์ใหญ่วิ่งไล่ยักษ์เล็กถึงระนองระยองยะลา เย็นคว่ำขาวเช้าคว่ำค่ำ แล้วนำไปให้กล้วยตานีปลายหวีเหี่ยว เหลือหวีเดียว หิ้วหวีไป หิ้วหวีมา โคลงเรือ เรือโคลงเพราะโคลงเรือ เลยวิ่งไปเอาสบู่ถูมือ ถูมือด้วยสบู่
ยามเย็นเดินเล่นตากลม เดินตากลมตากลมชมวิว ตากลมตากลมชมจันทร์ ตัวฉันเพลินเดินตากลม เลยต้องตากลมชมจันทร์เดียวดาย รถยนต์ล้อยาง รถรางล้อเหล็ก She sells seashells by seashore. How much wood can a woodchuck chuck, if a woodchuck can chuck wood? Red lorry yellow lorry อ่านว่า [เร้ด รอลลี่ เยลโล่ รอลลี่] Tim the thin twin tin smith อ่านว่า [ทิม เดอะ ทิน ทวิน ทิน สมิธ]
ที่จังหวัด ระนองระยองยะลา ได้มียักษ์ใหญ่ไล่ยักษ์เล็ก เพราะยักษ์เล็กจะกินข้าวกับผัดฟักแต่ฟักผัด เป็นของยักษ์ใหญ่ ระนองระยองยะลา จึงได้แต่หวาดวิตกว่า ยักษ์ใหญ่ไล่ยักษ์เล็กจะเข้าทำร้าย จึงส่งทหารถือปืนแบกปูนไปโบกตึกเพราะปูนโบกตึกที่ทหารถือปืนแบกมานั้น อาเฮียหลีพาอาหลีเฮียไปดูผี และยานัดหมอมีแก้ฝีแก้หิด ยานัดหมอชิดแก้หิดแก้ฝี จึงกินมันติดเหงือก กินเผือกติดฟัน จึงพาบริษัท กำจัด จำกัดมหาชน ให้มากำจัด โดยวิธีที่จะทำคือ ชามเขียวคว่ำเช้าชามขาวคว่ำค่ำ เพื่อเมื่อเช้ากินผัดฟักเย็นกินฟักผัด แล้วจึงบอกให้พ่อบอกกับแม่ว่าให้พี่ซึ่งเป็นน้องของคุณย่าให้หาปู่ที่เป็นทวดของคุณลุงลูกแม่ยายของอาที่อยู่ระนองระยองยะลา ให้มาช่วยด่วน.
________________________
1. ชีวิต – พ่อแม่ให้มา
* ถนอม”หน่อย”
2. ทางเดินชีวิต – เลือกเอง
* ระวัง”หน่อย”
3. คู่ชีวิต – หามาเอง
* ทนเอา”หน่อย”
4. เพื่อน – คบกันต้อง
* จริงใจ “หน่อย”
5. ความสุข –
* ต้องปรุงเอา”หน่อย”
6. ความยุ่งยาก –
* ลืม ๆ “หน่อย”
7. ความสเร็จ –
* พยายาม”หน่อย”
8. ความล้มเหลว –
* ทำใจ “หน่อย”
9. จิตใจของเรา –
* สงบ ๆ “หน่อย”
* ข้อคิดดี ๆ อย่างนี้ ต้องแชร์กัน “หน่อย”
สิ่งของสามอย่างที่ผ่านไปแล้วไม่อาจย้อนคืนมา
1. เวลา
2. ชีวิต
3. วัยเยาว์
สิ่งของสามอย่างที่ส่งผลทำลายชีวิตคนเรา
1. โทสะ
2. โอหัง
3. ใจแคบ
สิ่งของสามอย่างที่ไม่ควรทิ้งไป
1. ความเดียงสา
2. อุดมการณ์
3. ความหวัง
สิ่งของสามอย่างที่ประมาณค่าไม่ได้
1. ความรัก
2. ความดี
3. มิตรภาพ
สิ่งของสามอย่างที่ไม่นิรันดร์
1. ความสำเร็จ
2. ทรัพย์สมบัติ
3. ความฝัน
สิ่งของสามอย่างที่ส่งเสริมเราให้สำเร็จ
1. เวลา
2. สถานที่
3. ผู้คน
สิ่งของสามอย่างที่ต้องถนอมรักษา
1. พ่อแม่
2. บุตรธิดา
3. คนที่อยู่ตรงหน้า
สิ่งของสามอย่างที่ใช้ในการทำงาน
1. เป้าหมาย
2. วิธีการ
3. แก้ไข
สิ่งของสามอย่างที่ใช้ในการคบมิตร
1. สัจจะจริงใจ
2. สละอุทิศ
3. น้ำใจไม่เห็นแก่ตัว
สิ่งของสามอย่างที่ต้องรักษาไว้ให้ดี
1. โอกาส
2. ชีวิต
3. คู่ครอง
ชีวิตเหมือนกับการเดินทางโดยสารรถไฟ… มีสถานีต่างๆ… มีการเปลี่ยนเส้นทาง… มีกระทั่งอุบัติเหตุ……
เราขึ้นรถไฟขบวนนี้ตอนเราถือกำเนิด…. พ่อแม่ คือคนที่ตีตั๋วให้เรา…
เราเชื่อว่าท่านจะเดินทางด้วยรถขบวนนี้ กับเราตลอดไป….
แต่แล้ว..ที่สถานีใด สถานีหนึ่ง
ท่านทั้งสองก็ต้องลงรถจากไป… ปล่อยเราไว้เพียงลำพังกับการเดินทางนี้….
วันเวลาผ่านไป… จะมีผู้โดยสารอื่นๆขึ้นรถ มาเรื่อยๆ… หลายคนจะเป็นคนที่เรารัก และผูกพัน.. เป็นพี่เป็นน้อง.. เป็นเพื่อน.. เป็นลูกเป็นหลาน หรือกระทั่งเป็นที่รัก แห่งชีวิตของเรา….
หลายคนลงรถไปกลางทาง… ทิ้งไว้แค่ความทรงจำความอ้างว้างและคิดถึงอันถาวรในชีวิตเรา..
หลายคนจากไป… อย่างที่เราไม่ทันได้ สังเกตด้วยซ้ำว่า… เขาลุกจากที่นั่ง และลงรถไฟไปแล้ว !
การเดินทางโดยรถไฟชีวิตขบวนนี้ จึงเต็มไป ด้วยความรื่นรมย์… ความโศกเศร้า… ความมหัศจรรย์…ความสมหวัง… คำสวัสดี…คำอำลา… และคำอวยพรให้โชคดี
การเดินทางที่ดีที่สุด คือ การได้ช่วยเหลือ… ได้รัก…ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อน ผู้โดยสารทุกคน …จงแน่ใจว่าเราได้ให้ สิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้การเดินทางของพวกเขา มีความราบรื่นและสะดวกสบาย
ความน่าพิศวงของการเดินทางอันวิเศษยอดเยี่ยมนี้คือ… ตัวเราเองก็ไม่รู้ล่วงหน้า ว่าเราจะต้องลงจากรถไฟที่สถานีไหน…..
ฉะนั้น…เราต้องมีชีวิตให้แจ๋วที่สุด…ปรับปรุงตัวเอง…รู้จักลืม…รู้จักอภัย…ให้สิ่งดีที่สุด ที่เรามีแก่คนรอบข้าง
สำคัญเหลือเกิน ที่เราควรทำอย่างนี้…
เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราต้องลุกจากที่นั่ง..เพื่อลงจากรถไฟไป เราจะได้ทิ้งความทรงจำ ที่สวยงามไว้แก่ผู้คน ที่ต้องเดินทาง โดยสาร รถไฟขบวนชีวิตนี้ต่อไป
ขอบคุณมากๆ ที่มาเป็นผู้โดยสารคนหนึ่ง ในขบวนรถไฟชีวิต ของกันและกัน
ขอให้ผู้ร่วมทางทุกท่านพบพานแต่ความรื่นรมย์ในการเดินทางบนขบวนรถไฟสายชีวิต… ที่ครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาหนึ่ง ณ สถานีใด สถานีหนึ่ง เรามีโอกาสได้เดินทางร่วมกัน
ช่วย Share ต่อให้คนที่คุณรักนะ