สุภาษิตภาษาเขมรน่าคิด แต่ว่าใครอ่านออกบ้างล่ะ

เขาพิมพ์เป็นตัวอักษร แบบมูล แล้วมีใครอ่านออกบ้างนะครับ ใครอ่านออก comment มาให้ดูหน่อยครับผม

image

*คนจนยิ่งจนเพราะทำตัวเป็นคนรวย
*คนรวยยิ่งแต่รวยเพราะทำตัวเป็นคนจน
*คนโง่ยิ่งโง่เพราะทำเป็นเก่ง
*คนเก่งยิ่งเก่งเพราะทำเป็นคนโง่
*คนบาปยิ่งแต่บาปเพราะ ทำแต่บาป
*คนดียิ่งเธอดีเพราะทำแต่ดี

ให้คนเขมรอ่านแล้ว มันช่างไพเราะเหลือเกิน  แต่พอแปลเป็นภาษาไทยไม่รู้จะดีหรือเปล่า เอาไว้ฝึกอ่านแล้วก็แปลความหมายก็แล้วกันนะครับ ถ้ามีใครที่สามารถแปลให้มันไพเราะกว่านี้ขอเชิญ comment ด้านล่างนะครับ เพื่อไว้ปรับปรุงนะครับผม

โห สุดยอดอ่ะ ลองมาดูคนญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่น มีต้นแบบ สร้างคน

image

ลองมาดูคนญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่น
มีต้นแบบ สร้างคน สร้างชาติกันอย่างไร ?
เขาถึงเป็นที่หนึ่งในเอเซีย และเป็นผู้นำระดับโลก

?ฝึกสอนเด็ก(เนอสเซอรี่) ก่อนจะเข้าอนุบาล

?ฝึกสอนเด็กในระดับอนุบาล อัจฉริยะ

ฝึกสอนเด็กระดับมัธยม ค้นหาตนเอง

ฝึกสอนเด็กระดับมัธยมปลาย เรียนรู้สู่อนาคต

?ฝึกสอนคนให้เป็นหัวใจเพชร (1)

ฝึกสอนคนให้เป็นหัวใจเพชร (2)

โรงเรียนสร้างคนให้เป็นสุดยอดผู้นำ

?มหาวิทยาลัยสอนคนให้พร้อมเป็นผู้ใหญ่

?ครู คือต้นแบบ สร้างคนสร้างชาติ

?ครอบครัว คือ รากฐานสร้างคนสร้างชาติ

นี่แหละมืออาชีพ

?นักธุรกิจของวันพรุ่งนี้

?นักธุรกิจพันล้าน ใช้ชีวิตกับความสุขแบบไหน

สร้างคนพร้อม สร้างเมืองพร้อม

?สร้างเมืองปลอดภัย

สร้างเมืองสะอาด (1)

?สร้างเมืองสะอาด (2)

คุณวิกรม กรมดิษฐ์
มองคนไทย ประเทศไทย อะไรคือปัญหา

18 สาเหตุ ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง + อ่อนเพลีย

image

18 คำตอบ เวลาที่คุณรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง เวลาที่เราอ่อนเพลีย เรามักโทษความเครียดและการนอนน้อย แต่ยังมีสิ่งผิดปกติอื่นอีกที่สามารถสูบพลังจนหมดตัวคุณได้ โชคดีที่เรามีวิธีเรียกพลังใจและกายกลับคืนมา

1. ใช้โทรศัพท์มากเกินไป คุณจะเสียน้ำในร่างกายไปทางปากขณะพูด ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า Phone-Fatigue ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำ หรับพนักงานตามศูนย์บริการลูกค้า อาการขาดน้ำทำให้เลือดแข็งตัวและลดปริมาณออกซิเจนในระบบที่เป็นตัวให้พลังงาน ดังนั้น ถ้าคุณใช้โทรศัพท์นาน ควรดื่มน้ำมากๆ ระหว่างคุย

2. ความดันเลือดต่ำ ความดันเลือดต่ำคือสาเหตุใหญ่ที่คุณหมดแรง แพทย์ยังไม่รู้ว่าทำไม แต่เป็นไปได้ว่ามันทำให้เลือดส่งไปยังสมองไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้อ่อนเพลีย อาการที่พบได้บ่อยที่สุดในคนที่มีความดันเลือดต่ำคือ รู้สึกหน้ามืดเวลาลุกขึ้นปุบปับ หรือเวลายืนนานๆ ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์

3. เล่นเน็ตดึกเกินไป ฮอร์โมนเมลาโตนิน ( Melatoni n) จะกระตุ้นให้เรานอนหลับ แต่แสงจากจอคอมพิวเตอร์อาจทำให้เราหลับยาก โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังดูสิ่งที่สนใจอยู่ ซึ่งทำให้คุณมักนอนดึก และมีเวลานอนหลับน้อยลง ให้คุณทำอย่างอื่นที่ผ่อนคลายกว่า เช่น อ่านหนังสือแล้วดูสิว่าคุณจะตื่นตัวมากกว่าเดิมในวันใหม่หรือเปล่า

4. กินอาหารไม่เต็มที่ การเฝ้ารออาหารจะเพิ่มปริมาณน้ำย่อย และทำให้เราดูดซับสารอาหารได้มากขึ้นที่มันเกี่ยวกับอาการอ่อนเพลียก็เพราะการขาดธาตุเหล็กคือหนึ่งในสาเหตุของความอ่อนเพลียที่พบมากในผู้หญิง ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เพิ่มระดับสารอาหารให้คุ ณ ก็จะเพิ่มพลังใจและกายให้ด้วย

5. ไม่ออกกำลัง นักวิจัยพบว่าคนที่ออกกำลังอย่างน้อย 20 นาที แม้จะแค่อาทิตย์ละครั้งก็จะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยกว่า คนที่ไม่ออกกำลังเลยประมาณ 30% ถ้าเห็นว่าออกกำลังเป็นเรื่องยากเกินไปให้คุณกินผักและผลไม้เพิ่ม คนที่กินผักผลไม้อย่างน้อย 4 – 5 จานต่อวันจะออกกำลังได้อย่างสบายๆ

6. อิทธิพลของเดือนเกิด ถ้าคุณเกิดเดือนธันวาคม หรือมกราคม จะอ่อนเพลียในช่วงเย็นมากกว่าคนที่เกิดเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคมที่จะขี้เซาในยามเช้า นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การสัมผัสของแสงแดดยามเช้าประมาณ 15 นาที จะทำให้คนประเภทหลังตาสว่าง ส่วนกาแฟยามบ่ายจะเพิ่มพลัง ให้กับคนประเภทแรก

7. กรามแข็ง คุณสามารถใส่นิ้ว 3 นิ้วเรียงเป็นแนวตั้งเข้าปากพร้อมกันหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ คุณคงมีปัญหาที่เรียกว่า โรค TMJ (TemporomandiBular Joint Disorder) แพทย์บอกว่ามันคือความไม่สมดุลระหว่างกล้ามเนื้อใกล้กราม และตำแหน่งของฟัน อาการทั่วไปคืออ่อนเพลีย และปวดหัว ปวดคอ หรือไหล่ ควรปรึกษาทันตแพทย์

8. ธรณีหน้าต่างสกปรก จากการวิจัยพบว่า 88% ของบ้านทั่วไปจะมีราขึ้นตามหน้าต่าง และการแพ้เชื้อราเหล่านี้เองคือ สาเหตุหนึ่งของความอ่อนเพลีย ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดและตรวจดูผ้าม่านอาบน้ำของคุณด้วยว่ามีราหรือเปล่า

9. ไม่ได้เอาผ้าห่มไปผึ่งแดด ระดับความขึ้นสูงทำให้ไรฝุ่นเติบโตได้ดี มันอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามหลอดลมในปอด ทำให้หายใจติดขัดและนอนหลับไม่สนิท และเป็นสาเหตุของความอ่อนเพลียในวันต่อมา นำผ้าห่มผึ่งแดด เป็นประจำเมื่อความชื้นหมดไป ก็ไม่มี ไรฝุ่น

10. เชื่องช้า งุ่มง่าม ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเมื่อคุณงุ่มง่าม เพราะปริมาณกลูโคสเข้าสู่สมองน้อยลง คุณเลยอ่อนเพลีย การผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดทำได้โดยเหวี่ยงแขนไปหน้าและหลัง สลับทีละแขน

11. อยู่ใกล้คนมองโลกในแง่ร้าย คนที่มองทุกอย่างในแง่ร้ายจะฉุดพลังคุณหดหายไปด้วย เพื่อลดอิทธิพลของพวกเขาให้จินตนาการว่า คุณกำลังใส่เสื้อคลุมสีดำเวลาคุยกันก็จะยับยั้งไม่ให้คุณดูดพลังแง่ลบจากพวกเขาได้

12. อยู่ใกล้เครื่องใช้ ไฟฟ้ามากเกินไป ขั้วบวกที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ หรือเครื่องปรับอากาศอาจกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมนที่ทำให้เราอ่อนเพลียและซึมเศร้า ให้เสียบปลั๊กตัว แปลงขั้วไฟฟ้าเพื่อเพิ่มระดับของขั้วลบที่เสริมพลังในอากาศ

13. ลืมดื่มกาแฟตอนเช้า ถ้าคุณไม่ได้ดื่มกาแฟยามเช้า พลังกายและใจอาจตกวูบในวันนี้ จากงานวิจัยพบว่าผู้ร่วมวิจัย 50% มีอาการอ่อนเพลียถ้าไม่ได้ดื่ม กาแฟถ้วยแรกของวัน ซึ่งมีถึง 13% ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

14. บ้าน รก ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยบอกว่ากองสิ่งของรกเกะกะจะทำให้สถานที่นั้นขาดพลังและกระตุ้นให้คุณขาดพลังไปด้วย คุณไม่ต้องถึงกับเก็บทุกอย่างในทันที แค่สะสางพื้นที่อาทิตย์ละครั้งก็ใช้ได้

15. ร่างกายมีปัญหา แม้ว่าการเจ็บหน้าอกคือสัญญาณหลักๆ บอกถึงอาการโรคหัวใจ แต่สำหรับเพศหญิงสัญญาณนั้นอาจเป็นความอ่อนเพลีย ซึ่งมีมากถึง 70% ที่ อ่อนเพลียภายในเดือนนั้น ก่อนหัวใจกำเริบ สัญญาณอื่นๆ อาจ รวมถึงการนอนไม่หลับ หายใจขาดห้วง อาหารไม่ย่อย และความเครียด 43% ของผู้หญิงไม่มีอาการเจ็บ หน้าอกเลย แม้โรคหัวใจจะกำเริบก็ตาม พบผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนเป็นโรคหัวใจน้อยมาก แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีควรตรวจร่างกาย โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สูบบุหรี่ ความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอล สูง เป็นเบาหวาน หรือคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

16. กลั้นหาว การหาวเป็นวิธีธรรมชาติที่ร่างกายของเรากระตุ้นให้เราตื่น นักจิตวิทยาบอกว่าการเคลื่อนไหวของ กรามจะบีบหลอดเลือดบนใบหน้า ซึ่งส่งเลือดไปยังสมอง การกลั้นหาวจึงเป็นการยับยั้งกระบวนการนี้ และทำให้คุณยิ่งง่วงนอนมากขึ้น

17. ใช้ชีวิตตามตาราง ตารางกิจกรรมที่เตือนคุณทุกอย่างว่าต้องทำอะไรบ้าง คือตัวดูดพลังชั้นดี นักวิจัยพบว่าคนที่คิดว่าเขา ทำอะไรไปได้มากแค่ไหนมักจะอ่อนเพลียง่ายกว่า คนที่ทำสิ่งที่ต้องทำไปเรื่อยๆ

18. หมอนเก่าเกินไป ถ้าหมอนของคุณยวบยาบไม่แข็งพอ จะทำให้ลำคอของคุณไม่ได้ระนาบเดียวกับลำตัว ซึ่งไม่เพียงทำให้กล้ามเนื้อตึงตัวซึ่งทำให้คุณนอนไม่หลับแล้ว ยังไปกีดขวางระบบการหายใจเวลาคุณหลับด้วย ถ้าหมอนของคุณอ่อนนิ่มจนโอบรอบแขนคุณได้ก็ถึงเวลาซื้อใบใหม่แล้วค่ะ

(Cr: Thaihealth)

สูตรน้ำดีท็อกซ์ล้างลําไส้ ทำติดกัน 3 วัน สวยใส หุ่นเฟิร์ม

image

การดูแลและรักษาสุขภาพ เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนพยายามเรียนรู้เพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ และโดยเฉพาะให้ห่างจากค่ารักษาพยาบาลอันสุดแสนแพง ในขณะที่เจ็บป่วยจำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาล เป็นข้อที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การมีสุขภาพที่ดีจึงเป็นลาภอันประเสริฐ

เดี๋ยวนี้การดีท็อกซ์ลำไส้ไม่จำป็นต้องไปถึงโรงพยาบาลแล้วคะ เพราะเราก็สามารถดีท็อกซ์ลำไส้ด้วยด้วยตัวเองได้ที่บ้านเลย ด้วยสูตรเครื่องดื่มดีท็อกล้างลำไส้ที่เราก็ทำเองได้ง่าย ๆ แถมประหยัดตังค์กว่าไปทำที่โรงพยาบาลเป็นไหน ๆ ลองทำติดต่อกัน 3 วัน ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้คุณถ่ายคล่อง พุงยุบ เริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างมั่นใจเพราะพุงยุบใส่ชุดอะไรก็สวย และที่สำคัญผิวพรรณจะสดใสขึ้นด้วย

สูตรที่ 1 น้ำเปล่า + เม็ดแมงลัก

สูตรนี้ง่าย ๆ เลย แค่เตรียมน้ำร้อน 1 แก้ว ใส่เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา รอ 30 นาทีให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มทีก่อนแล้วค่อยดื่ม สูตรนี้แนะนำให้ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะมีใยอาหารสูงและมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ จึงช่วยในการลากอุจจาระที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารออกมาได้อย่างดีเลยทีเดียว ตื่นเช้ามาถ่ายคล่อง สบายพุง เบาตัวไปอีก

สูตรที่ 2 น้ำเปล่า 1 ลิตร + มะนาว 2 ลูก + เกลือ 2 ช้อนชา

ใครจะทำสูตรนี้แนะนำว่าให้ทำวันหยุด เพราะทำสูตรนี้แล้วคุณจะถ่ายแบบไม่เป็นเวลาเลยทีเดียว เตรียมน้ำเปล่า 1 ลิตร บีบน้ำมะนาว 2 ลูก แล้วตามด้วยเกลือ 2 ช้อนชา และเขย่าให้เข้ากัน พยายามดื่มให้หมดภายใน 10-20 นาที พอดื่มหมดขวดแล้วสักพักคุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำทันที สูตรนี้จะช่วยให้คุณถ่ายแบบหมดลำไส้จริง ๆ  เหมือนช่วยผลักของเก่าที่มีอยู่ออกมาจนหมด สบายพุงแน่นอน แต่สูตรนี้แนะนำให้ทำอาทิตย์ละครั้งพอนะคะ ทำทุกวันไม่ไหวจริง ๆ

สูตรที่ 3 โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว

ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย, นมสดรสจืด 100% 1 กล่อง, น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และน้ำมะนาวครึ่งลูก คนให้เข้ากับแล้วดื่มทันที ห้ามวางแช่ทิ้งไว้ ถ้าดื่มก่อน 7 โมงเช้าจะดีมาก สูตรนี้ช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงาน เมื่อเราถ่ายคล่อง พุงก็ยุบตามไปด้วย ใส่ชุดไหนก็มันใจละวันนี้

สูตรที่ 4 นมสด + กล้วยน้ำหว้า

สูตรนี้ใช้นมสด 2 กล่อง (รวมปริมาณประมาณ 500 มิลลิลิตร) กินพร้อมกับกล้วยน้ำหว้า 2 ผล หรือจะเอาไปปั่นรวมกันแล้วดื่มก็ได้ ดื่มตอนท้องว่างหลังตื่น ดื่มก่อน 6 โมงเช้าได้ยิ่งดี เพราะเราจะได้ถ่ายก่อน 7 โมงเช้า สูตรนี้ก็จะไปกระตุ้นให้ถ่ายออกมา แนะนำให้ทำติดต่อกัน 3 วัน จะช่วยให้เราขับถ่ายเป็นเวลาด้วย

เห็นไหมล่ะค่ะว่าเรามีวิธีการดีท็อกดีๆ ที่ทำได้ง่ายๆไม่ยุ่งยาก ที่ใครๆสามารถทำทานได้เองที่บ้าน มีสิ่งดีๆอย่าลืมบอกต่อ แชร์ต่อให้คนรอบข้าง ให้คนที่เรารักได้รักษาสุขภาพเหมือนเรานะค่ะ

ข้อมูลดีๆจาก cosmenet

7 คำพูดดีๆ ที่ลูกอยากได้ยินจากพ่อแม่

image

เชื่อไหมว่า? สิ่งสำคัญที่ลูกๆ อยากได้จาก พ่อ-แม่ มากที่สุด อาจจะไม่ใช่เงินทองหรือของมีค่า แต่เป็นความรัก ความเอาใจใส่ของพ่อ-แม่ มากกว่า .. นี้เป็น 7 คำพูดที่ลูกๆ อยากได้ยินจาก “พ่อ-แม่” ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานะการณ์ที่แย่หรือดี สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือกำลังใจจากพ่อและแม่นั่นเอง

1. พ่อแม่รักลูกนะ

การบอกรักลูก เป็นคำพูดที่ทรงพลังและมีความหมายที่สุด เพราะความรักที่ดีที่สุดคือการเริ่มต้นจากที่บ้าน หากลูกไม่เคยได้ยินคำบอก “รัก” ออกจากปากพ่อแม่ก่อน ก็ไม่รู้แล้วล่ะว่าลูกจะได้ยินคำนี้จากใคร

2. พ่อแม่ภูมิใจในตัวลูกนะ

การให้คำชม เมื่อลูกทำสิ่งที่ถูกต้องหรือดีงาม เป็นรางวัลที่ดีที่สุดมากกว่าการซื้อของขวัญให้เป็นการตอบแทน เพราะนั่นจะทำให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และพยายามทำสิ่งที่ตั้งใจได้อย่างประสบความสำเร็จ

3. พูด “ขอโทษ” แบบไม่ต้องอายลูก

ใครๆ ก็สามารถทำผิดได้เหมือนกันหมด การกล่าวคำว่า “ขอโทษ” ในยามที่พ่อแม่ผิด ถือเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูก เพราะเขาจะได้เรียนรู้ว่า หากการกระทำใดๆ ที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ (หรืออาจจะตั้งใจ) การขอโทษ คือสิ่งที่ควรทำอันดับแรก จำไว้ว่าเด็กๆ เรียนรู้เพียงเล็กน้อยจากสิ่งที่เราพูด แต่พวกเขาจะเรียนรู้มากขึ้นจากสิ่งที่เราทำ และจะเรียนรู้มากที่สุดจากสิ่งที่เราเป็น

4. แม่ให้อภัยลูกจ้ะ

เด็กยิ่งโตก็ยิ่งเริ่มมีความคิดเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และที่ตามมาคือการกระทำแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งอาจจะทำให้คุณพ่อคุณแม่โกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ยังไงลูกก็เป็นลูกของเราเสมอ พ่อแม่ยินดีที่จะกล่าวคำว่า “ให้อภัยลูก” และให้เหตุผลต่อลูก เด็กๆ จะเรียนรู้และไม่พยายามที่จะทำผิดพลาดอีก

5. แม่คอยรับฟังลูกอยู่เสมอนะ

เมื่อลูกกำลังเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มมีโลกส่วนตัวและเป็นตัวของตัวเอง พ่อแม่ก็เริ่มที่จะไปบังคับหรือสอนให้ลูกทำอะไร ไม่ได้เหมือนตอนเล็กๆ แล้ว แต่สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ดีที่สุดสำหรับลูกวัยนี้ก็คือ การตั้งคำถามให้คิดและการพร้อมที่จะยอมรับฟังลูกใน “ทุกเรื่อง” ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกสามารถตัดสินใจได้อย่างมีวุฒิภาวะ และเชื่อมั่นในตนเอง

6. นี่คือสิ่งที่ลูกต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง

พ่อแม่ไม่ควรช่วยลูกแก้ปัญหาไปหมดทุกอย่าง เพราะการเข้าไปแก้ปัญหาให้ลูก แทนที่จะคอยดูอยู่ห่างๆ เพราะความที่ห่วงใย จะทำให้ลูกเข้าใจว่าเขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ ดังนั้นพ่อแม่จึงควรให้ลูกพยายามลองแก้ปัญหาในสิ่งที่เขาทำผิด หรือควรที่จะรับผิดชอบ และ เราควรจะเป็นแม่ไก่ที่คอยดูลูกไก่เขี่ยหาอาหารเองอยู่ห่างๆ โดยไม่เข้าไปช่วย ควรจะเป็นเหมือนโค้ชที่คอยสอนลูกอยู่ข้างสนามเมื่อเขาต้องลงแข่งขันเอง คอยเชียร์ คอยเป็นกำลังใจ และให้คำแนะนำ สิ่งที่หัดให้ลูกรู้จักรับผิดชอบด้วยตัวเอง จะทำให้เขามีความเข้มแข็งและรู้จักแก้ปัญหาเองได้

7. ลูกอยากเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น

การที่ลูกเติบโตจะเป็นอะไร เป็นสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่หลายคนมักจะคาดหวังและตั้งความหวังในตัวลูก แต่สิ่งที่สำคัญคือการรับรู้ในความสามารถ และเชื่อมั่นในตัวของลูก มากกว่าการที่พ่อแม่ต้องการให้เป็น เมื่อถึงเวลาเราสามารถบอกลูกได้ว่า “ลูกอยากจะเป็นอะไรก็ได้” พ่อแม่จะเป็นคนคอยสนับสนุนในสิ่งที่ลูกอยากเป็น เพื่อให้เขาสามารถเตรียมตัวและพร้อมที่จะเผชิญสถานการณ์ต่อการไปสู่เป้าหมายและความฝันของเขาในอนาคต

(Cr : Kaijeaw)

เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก สู่ การ์ตูนเอนิเมชั่น

เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก สู่ การ์ตูนเอนิเมชั่น ความรู้ ธรรมะสอนใจ แล้วคุณจะรู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร
1ย้อนเวลา

2 มงคลจักรวาล

3 กัป

4 อรูปภูมิ

5 รูปภูมิ

6 จาตุมหาฯ

7 ดาวดึงส์

8 ยามาภูมิ

9 อมร

10 บุปพวิเทหฯ

11 อุตรกุรุฯ

12 ชมพูทวีป

13 ป่าหิมพานต์

14 มนุษย์ภูมิ

15 อสูรภูมิ

16 เปรตภูมิ

17 ราชสีห์

18 ช้างแก้ว

19 ปลาใหญ่

20 ครุฑ

21 นาค

22 เดรฉาน

23 มหานรก 8 ขุม

24 นรกบ่าว

25 โลกันตร์นรก

26 นรกภูมิ

27  อบายภูมิ

28 เทวดา

29 นิพพาน

อนุโมทนาบุญกับทีมงานผู้สร้างทุกท่าน แชร์ต่อ=บุญ

ดอกดาวเรือง…ช่วยรักษาตาและบำรุงตับ

image

ดอกดาวเรืองคือเจ้าแห่งการรักษาตาบำรุงตับ!!ลองอ่านดูค่ะ
ตา กับ ตับ ในแผนโบราณเราเชื่อว่าเป็นจุดแสดงอาการของโรค หากผู้ที่มีปัญหาเรื่องตับ ตับร้อน ตับอ่อนแอ ตับอักเสบ แสดงออกที่ดวงตาทั้งสิ้น
ใครที่มีอาการดังต่อไปนี้ คุณควรถนอมตับ ก่อนตับป่วย
1. มีอาการแสบตา ตาแห้ง
2. มีอาการร้อนออกตา
3. ตาฉ่ำๆ เหมือนมีน้ำตาคลอตลอด
4. มีเส้นเลือดฝอยเล็กๆในตามาก
5. ตาเริ่มมีสีออกเหลืองๆ
อาการเหล่านี้จะดำเนินทางโรคจาก 1 ถึง 5 หากไม่รีบรักษาหรือคอยบำรุงตับตั้งแต่แสบตา ตาแห้ง โรคตับจะยิ่งมากขึ้น!!
วิธีปรุงชา ดอกดาวเรือง แก้ตาแห้ง แสบตา บำรุงตับ
1. เลือกดอกดาวเรืองที่แกจัด 10 ดอก รวมฐานรองดอก
(ไม่เอาที่ร้อยพวงมาลัยตามตลาด)
2. ล้างให้สะอาด
3. ใส่ลงหม้อ เติมน้ำ 2 ลิตร
4. ต้มจนเดือด ลดไฟลงกลางๆ เคี่ยวต่อจนน้ำลดลงเหลือครึ่งนึง
5. ดื่มครั้งละ 30-50 ซีซี ก่อนอาหาร 30 นาที เช้าเย็น
(ที่เหลือเก็บใส่ตู้เย็น หากจะทาน เทใส่แก้ว 30-50 ซีซี แล้วเติมน้ำร้อน ดื่มอุ่นๆ)
รับประทานติดต่อกัน 1-2 อาทิตย์ หากอาการตาแห้ง แสบตาไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ครับ
(สามารถปรุงให้มีรสหวานเล็กน้อยได้ด้วยน้ำตาลกรวด)
***ดอกดาวเรืองดีกับดวงตา โดยเฉพาะคนที่เล่นคอม เล่นมือถือมากๆ ดื่มก่อนนอนอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งช่วยได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมุนไพรหมอศุภ

“บรรได 5 ขั้น” อ่านให้จบแล้ว คุณจะรู้สึกว่า ดีจริงๆ

# บันไดขั้นที่ 1 ……มองตัวเองว่าดี และมีค่าทุกวัน ในแต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการ……..

1.ตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว

2.ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ

คิดว่าตัวเองดี และ มีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่า ตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และ

3.ต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ

# บันไดขั้นที่ 2…….. มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี ขั้นนี้คุณจะต้องมองว่า…..

1.ทุกๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย

2.ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคต และชีวิตที่ดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำให้ติดเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดีๆ และไม่ยอมแพ้ต่อ”อุปสรรค” ต่างๆ และท้ายที่สุด ก็จะกลายเป็น “สุขนิยม” ทั้งชีวิต

# บันไดขั้นที่ 3 ……..ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คือ…..

1.การอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้ และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม

2.จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า……ในอนาคต จะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น

3.คุณต้องเลิกจดจำ หรือ นึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบัน คุณจะไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำๆ อีก

# บันไดขั้นที่ 4 ……….มีความหวัง และเชื่อว่าอนาคต จะดีเสมอ ความหวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อยๆ หรือได้ยินบ่อยๆ

1.จงนึก และบอกกับตัวเองเสมอว่า…… อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อยๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว

2.มีอารมณ์ขัน และ ไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดีๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง ( Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือ เมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้

# บันได้ขั้นที่ 5 ……..ปรับปรุงตัวเองเสมอ โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อ ชีวิต คือ…..

1. การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตได้เรื่อยๆ และปรากฏเป็นผลงานที่ชัดเจน

2. ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้ และการให้อภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน

3. สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญต่อกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และ พูดจากันแบบ “ปิยะวาจา”

4. ตนเอง….. ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น…

ក្មេងប្រុសនិងដើមផ្លែប៉ោម

image

អស់កាលជាយូរលង់ណាស់មកហើយមានដើមផ្លែប៉ោមមួយយ៉ាងធំ និងក្មេងតូចជាទីស្រឡាញ់ម្នាក់តែងតែមកលេងនៅជុំវិញវាជារៀងរាល់ថ្ងៃ។ ក្មេងតូចឡេីងលើដេីមប៉ោម ញុាុំផ្លែប៉ោម សំរាកនៅក្រោមម្លប់ដើមប៉ោម … ក្មេងតូចស្រឡាញ់ដើមឈើនោះហើយដើមឈើក៏ចូលចិត្តលេងជាមួយគេ។ ពេលវេលាកន្លងទៅ … ក្មេងប្រុសតូចនោះបានធំឡើងហើយគាត់មិនបានលេងនៅជុំវិញដើមឈើជារៀងរាល់ថ្ងៃទៀតទេ។
ថ្ងៃមួយក្មេងប្រុសនេះបានត្រលប់ទៅដើមឈើនោះហើយគេមើលទៅដូចជាមិនសប្បាយចិត្ត។ ចូរមកនិងលេងជាមួយខ្ញុំ “ដើមឈើបានសួរក្មេងនេះ” ខ្ញុំមិនមែនក្មេងទៀតទេខ្ញុំមិនចង់រត់លេងនៅជុំវិញដើមឈើទៀតឡើយ” ក្មេងប្រុសម្នាក់នេះបានឆ្លើយតប។ “ខ្ញុំចង់បានប្រដាប់ក្មេងលេង ខ្ញុំត្រូវការលុយដើម្បីទិញវា ” សូមទោសប៉ុន្តែខ្ញុំមិនមានលុយ .. ប៉ុន្តែអ្នកអាចយកផ្លែប៉ោមទាំងអស់របស់ខ្ញុំទៅលក់ ដូច្នេះអ្នកនឹងមានលុយ ” ដើមប៉ោមនិយាយ។ ក្មេងប្រុសនោះរំភើបចិត្តខ្លាំងណាស់ គាត់បានចាប់បេះផ្លែប៉ោមទាំងអស់ដែលនៅលើដើមឈើនិងបានចាកចេញយ៉ាងសប្បាយរីករាយ។ ក្មេងប្រុសម្នាក់នេះមិនដែលបានត្រឡប់មកវិញបន្ទាប់ពីគេបានបេះយកផ្លែប៉ោមនោះអស់ពីដើម។ ដើមប៉ោមមានការនឹករលឹកក្មេងនេាះជាខ្លាំង។
អស់រយៈកាលដ៏យូរកន្លងទៅ នៅថ្ងៃមួយក្មេងប្រុសម្នាក់ដែលឥឡូវនេះបានប្រែក្លាយទៅជាបុរសម្នាក់ត្រឡប់មកវិញហើយដើមឈើរំភើបជាខ្លាំង “សូមអញ្ជើញមកលេងជាមួយខ្ញុំ” ដើមប៉ោមនិយាយ ។ “ខ្ញុំមិនមានពេលវេលាដើម្បីលេង ខ្ញុំត្រូវតែធ្វើការសម្រាប់ក្រុមគ្រួសារខ្ញុំ យើងត្រូវការផ្ទះសម្រាប់ជាទីជំរកមួយ តើអ្នកអាចជួយខ្ញុំបានទេ? » សូមអភ័យទោសប៉ុន្តែ ខ្ញុំមិនមានផ្ទះណាមួយឡើយ ប៉ុន្តែអ្នកអាច កាត់មែកសាខារបស់ខ្ញុំក្នុងការសាងសង់ផ្ទះរបស់អ្នកបាន “។ បុរសនោះបានកាត់មែកទាំងអស់នៃដើមឈើនោះហើយបានចាកចេញទៅទាំងសប្បាយរីករាយម្តងទៀត។ ដើមប៉ោមមានអំណរសប្បាយដោយឃើញគាត់សប្បាយចិត្ត ប៉ុន្តែបុរសម្នាក់នេះមិនដែលបានត្រឡប់មកវិញចាប់តាំងពីពេលនោះមក។ ដើមឈើ ជាថ្មីម្តងទៀតរងភាពឯកកោនិងទុក្ខព្រួយ។
ថ្ងៃមួយនៅរដូវក្តៅមួយ បុរសនោះបានត្រឡប់មកវិញហើយដើមឈើនោះសប្បាយរីករាយណាស់។ ដើមឈើនេះបាននិយាយថា “សូមអញ្ជើញមកលេងជាមួយខ្ញុំ!” ។ “ខ្ញុំចាស់ហើយ ខ្ញុំចង់ធ្វើដំណើរកំសាន្តដើម្បីបន្ធូរអារម្មណ៍ខ្លួនឯង អ្នកអាចផ្តល់ទូកអោយខ្ញុំមួយបានទេ? ” បុរសម្នាក់នេះនិយាយ។ “ប្រើដើមរបស់ខ្ញុំដើម្បីកសាងទូករបស់អ្នក អ្នកអាចបើកទូកទៅឆ្ងាយនិងមានសុភមង្គល “។ បុរសនោះបានកាត់គល់ឈើដើម្បីធ្វើទូកមួយ គាត់បានធ្វើដំណើរកំសាន្ត និងមិនបានបង្ហាញខ្លួនអស់រយៈពេលជាយូរ។
នៅទីបំផុតបុរសនោះបានត្រឡប់មកវិញជាច្រើនឆ្នាំមក។ “សូមទោសក្មេងប្រុសរបស់ខ្ញុំ ប៉ុន្តែខ្ញុំមិនមានអ្វីសំរាប់អ្នកទៀតទេ ខ្ញុំមិនមានផ្លែប៉ោមទៀតសម្រាប់អ្នក”ដើមឈើនិយាយ។ “គ្មានបញ្ហាទេ ខ្ញុំមិនមានធ្មេញដើម្បីខាំ “បុរសម្នាក់នេះឆ្លើយតប។ “គ្មានដើមសម្រាប់អ្នកឡើងទៅលើ” ដើមឈើនិយាយ។ “ខ្ញុំចាស់ណាស់ហើយនៅពេលនេះឡើងដើមឈើមិនរួចទេ” បុរសម្នាក់នេះបាននិយាយ។ “ខ្ញុំពិតជាមិនអាចផ្ដល់ឱ្យអ្នកនូវអ្វីនោះទេ .. ខ្ញុំនៅសល់តែឬសឈើចាស់ជិតស្លាប់របស់ខ្ញុំ” ដើមឈើនេះបាននិយាយដោយទឹកភ្នែក។ “ខ្ញុំមិនត្រូវការអ្វីច្រើនឥឡូវនេះ គ្រាន់តែជាកន្លែងមួយដើម្បីសម្រាក ខ្ញុំពិតជាធុញទ្រាន់នឹងនឿយហត់រយៈពេលប៉ុន្មានឆ្នាំនេះ»បុរសនោះបានឆ្លើយតប។ “ល្អណាស់! ឫសឈើចាស់គឺជាកន្លែងល្អបំផុតសំរាប់លោកអង្គុយលេង សូមអញ្ជើញមក មកអង្គុយជាមួយខ្ញុំហើយអ្នកនឹងបានសម្រាក “។ បុរសនោះបានអង្គុយចុះហើយដើមប៉ោមក៏មានចិត្តរីករាយញញឹមជាមួយទឹកភ្នែក …..
ដំបូន្មាន: ដើមឈើនេះគឺដូចជាឪពុកម្ដាយរបស់យើង។ នៅពេលដែលយើងនៅក្មេងយើងចូលចិត្តលេងជាមួយម្តាយនិងឪពុករបស់យើង .. ពេលធំឡើងយើងក៏ចាកចេញពីគាត់.. ហើយត្រលប់មករកគាត់នៅពេលដែលយើងត្រូវការអ្វីមួយឬពេលយើងមានបញ្ហា។ គ្មានបញ្ហាអ្វីដែលឪពុកម្តាយមិនអាចធ្វើបាន គាត់ផ្ដល់ឱ្យអ្វីគ្រប់យ៉ាងដែលពួកគេអាចគ្រាន់តែដើម្បីធ្វើឱ្យអ្នកសប្បាយចិត្ត។ អ្នកអាចគិតថាក្មេងប្រុសម្នាក់នោះ មានចិត្តឃោរឃៅដល់ដើមឈើ ប៉ុន្តែេនះជារបៀបដែលយើងទាំងអស់គ្នាប្រព្រឹត្ដនឹងឪពុកម្តាយរបស់យើង។ យើងមិនបានយកចិត្តទុកដាក់ មិនឱ្យតម្លៃចំពោះអ្វីទាំងអស់ដែលពួកគាត់បានធ្វើចំពោះយើងរហូតដល់ពេលនេះវាជាការយឺតពេល។

ភូមិអ្នកណាមានឫសីច្រើន សាកយកមកប្រកធ្វើដំបូលមើល

ធានាថាឡូយបែប classic ធន់ ត្រជាក់ ងាយធ្វើ ហើយចំណាយតិចទៀត។ សូមយកទៅកែឆ្នៃបន្ថែមតាមការយល់ឃើញ ហើយអាចធ្វើជាអាជីពរកចំណូលបាបសមរម្យទៀតផង។

image

image

image

วินาทีก่อนตาย มนุษย์จะเห็นอะไร!!!

image

(คัดลอกจากหนังสือ อำนาจพลังจิต) วศิน อินทรวงค์

ในวินาทีที่บุคลหนึ่งบุคคลใดกำลังจะถึงแก่ความตาย ปกติแล้ว เมื่ออยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย จิตของผู้ที่ไม่เคยฝึกฝนการภาวนาเลยจะควบคุมได้ยากมาก

ก่อนที่จิตสุดท้ายจะดับไปสู่ความตาย จิตจะต้องเข้าภวังค์เสียก่อน ภวังค์จิตก่อนตายนี้ มีลักษณะพิเศษ คือประสาทสัมผัสจะดับ หูไม่ได้ยิน ตาไม่เห็น จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส กายไม่รู้สัมผัส พูดง่ายๆ ว่าร่างกายไม่ทำงานแล้ว แต่จิตยังทำงานอยู่ ในขณะนั้นเองจะมีนิมิตปรากฏขึ้นในภวังค์จิต ได้แก่

1.กรรมอารมณ์ปรากฏ
คือสิ่งที่ทำไว้ใน ชาตินี้ หรือชาติก่อน จะมาปรากฏในภวังค์จิต เป็นลักษณะเหตุการที่ดำเนินไปเรื่อยๆ คล้ายดูภาพยนต์ ไม่ได้เจาะจงจุดใดจุดหนึ่ง

2.กรรมนิมิตอารมณ์ปรากฏ
กรณีนี้จะไม่ปรากฏเป็นภาพในภวังค์จิต แต่จะปรากฏเป็นภาพ กุศล หรือ อกุศล ที่ตนเคยทำไว้ในชาตินี้แทน ซึ่งจะมีความชัดเจนมาก เช่นเห็นภาพตอนที่ตนเองไปทำบุญทำกุศล (สร้างกรรมดี) ไปช่วยสร้างวัดฯ หรือเห็นสัตว์ตัวที่เคยฆ่าไว้ ซึ่งจะทำให้ ไปเกิดทันที่ ด้วยผลกรรมที่รุนแรง

3.คตินิมิตอารมณ์ปรากฏ
คือเกิดนิมิตเป็นผล แห่งกรรม เช่นเห็นเป็นภพภูมิตามผลกรรมที่ตนกระทำไว้ เห็นเป็น นรก สวรรค์ เป็นวิมาน เป็นเทวดา นางฟ้า หรือเปรต อสุรกาย สัตว์เดรฉาน เป็นผลแห่ง กรรม จากการกระทำนั้นๆ เป็นต้น!!!

ซึ่งนิมิตทั้ง 3 นี้ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า ก่อนเสียชีวิตจะเกิดนิมิตแบบไหนขึ้น บางคนอาจคิดว่า จะใช้ประโยชน์จากจิตสุดท้าย ซึ่งเคยได้ยินว่า ในชีวิตจะทำอะไรมาก็ตาม ถ้าจิตสุดท้ายคิดดี ก็เป็นอันว่า ได้ไปเสวยสุขอยู่แดนสวรรค์ ก็ต้องขอบอกว่า

“กฏแห่งกรรม”
มิได้มีความโง่เขล่าถึงเพียงนั้น ความคิดเช่นนี้ไม่ได้ทำได้ง่ายนัก เพราะจิตที่กำลังจะปฏิสนธิจิต เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ เป็นจิตที่มีความรุนแรง ควบคุมได้ยากมาก สมัยพุทธกาล มีสตรีผู้หนึ่ง กระทำความดีมาตลอดชีวิต อยู่ในศีลธรรมตลอด หากแต่วาระสุดท้าย จิตพลิกไปคิดถึงความผิดอันน้อยนิดที่เคยทำไว้ ยังบันดาลให้นางต้องไปชดใช้กรรมอยู่ในนรกภูมิชั่วระยะเวลาหนึ่ง

พลังจิตนี้เอง จะสามารถช่วยผู้ที่ฝึกจิตในช่วงเวลาสำคัญเหล่านี้ได้ เพราะผู้ฝึกจิตทุกคนจะมีความคุ้นเคยกับการเข้าภวังค์ ยิ่งมีพลังจิตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความสามารถควบคุมการทำงานของจิตในภวังค์

ซึ่งภวังค์ในสมาธิก็มีความคล้ายคลึงกับภวังค์ในจิตสุดท้ายมาก นักพลังจิตที่มีความรู้จะใช้โอกาสทองนี้ ยกจิตขึ้นสู่ฌานสมาธิ ส่งจิตไปสู่พรหมโลก หรือหากแม้ผู้ฝึกจิตมีความเชียวชาญในการทำวิปัสสนาอยู่แล้ว ก็อาจใช้ช่วงเวลาดังกล่าว พิจารณาธาตุขันธ์ จนเห็นความเกิดดับ ตัดตรงเข้าสู่นิพพานก็ยังได้ เรียกว่า เป็นการใช้ภวังค์แห่งความตาย ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  นั่นคือใช้เพื่อการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในวินาทีสุดท้าย นั่นเอง

ฉะนั้น ผู้ที่หวังไปสู่ สุคติ ภูมิฯ ไปสู่ทีดีมีความสุขในภพภูมิ ต่อไปข้างหน้า ต้องหมั่น ทำแต่ความดี ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ทำบุญสร้างกุศลสร้างแต่กรรม ดี !!! และหมั่นฝึกฝนวิปัสสนาฯ ให้พร้อมอยู่เสมอ เพราะ เราไม่รู้ว่า เมื่อไหร่???  ที่เราหมดอายุขัย หมดเวลาในโลกนี้ !!!

เร่งสะสมบุญ สะสม กรรมดี กันดีกว่า !!! อนุโมทนาสาธุ

ฝากข้อคิดดีๆ “แม่กูสอนมา‬”

image

เพื่อนๆ บอกผมว่า ทำไมมึงดูหน้าตาไม่ค่อยฉลาด
แต่เรียนเก่งจังวะ ผมบอกเพื่อนผมว่า แม่กูสอน
ให้ขยันแล้วก็ตั้งใจเรียน

เพื่อนๆ ผมบอกว่า ทำไมพอมึงมีตังค์
มึงชอบเอาไปทำบุญ แจกเด็ก เลี้ยงพระวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้รู้จักแบ่งปันคนอื่น ถึงเราจะมีตังค์น้อย
แต่ก็มีคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรา

เพื่อนๆ ผมบอกว่า ทำไมมึงชอบเล่นกีฬาเล่นเป็นหลายอย่าง แล้วไม่เคยเห็นมึงป่วยนอนโรงพยาบาลเลยวะ ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้กูออกกำลังกาย จะได้แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่ายๆ เพราะเรามีตังค์น้อย เจ็บป่วยจะลำบาก

เพื่อนๆ ผมบอกว่า ทำไมมึงอารมณ์ดี ไม่เครียด
ไม่โกรธใครบ้างเลยหรือไงวะ ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้เป็นคนอารมณ์ดี ทำให้คนที่อยู่ใกล้เรา
มีความสุข แล้วจะสบายใจกันทุกคน

เพื่อนๆ ผมบอกว่า ทำไมมึงพูดกับคนอื่น ดูสุภาพ
อ่อนน้อม ทั้งๆ ที่เขาเป็นลุงแก่ๆ
เป็นเด็กเสิร์ฟอาหาร หรือแม้แต่ขอทานที่มึงให้เศษตังค์
แล้วเขาอวยพรให้มึง ทำไมมึงต้องขอบคุณขอทานวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้พูดดีๆ กับทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร
เราพูดดีๆ กับเขา เขาก็จะได้พูดดีๆ กับเรา

เพื่อนๆ ผมบอกว่า ทำไมพี่ๆ น้องๆ มึงตั้งหลายคน
ทำไมรักใคร่กันดี ไม่เคยทะเลาะกันเลยวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่กูสอน ให้พี่น้องรักกันทุกคน เพราะหมากับแมวที่อยู่บ้านเดียวกัน มันยังรักกันได้ ทำไมพี่น้องกัน จะรักกันไม่ได้

เพื่อนๆ ผมบอกว่า ทำไมมึงถึงรักชาติ
รักแผ่นดิน รักในหลวง มากมายนักวะ ผมบอกเพื่อนว่า
แม่กูสอน ให้กูสำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน
บุญคุณของพระมหากษัติรย์ ทุกพระองค์ แม่กูสอน
ให้กูรู้จักคำว่า จงรักภักดี ตั้งแต่กูยังไม่รู้ความหมาย
จนทุกวันนี้ กูรู้แล้วว่า คำว่า จงรักภักดี นั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด

เพื่อนๆ ผมบอกว่า
ทำไมแม่มึงถึงสอนอะไรมึงมากมายจังเลยวะ
ผมบอกเพื่อนว่า
ที่กูเป็นกูอยู่จนทุกวันนี้ ก็เพราะ ‘ แม่กูสอน ‘
แม่กูสอนอะไร กูทำตามแม่กูสอนทุกอย่าง
มีอย่างเดียวที่แม่กูไม่ได้สอน แต่กูทำ
แล้วกูทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว
แม่กูไม่ได้สอนให้รักแม่ แต่…..กูรักแม่ว่ะ
ใครไม่รัก………………แต่กูรัก!!

(เครดิต : ชินพัธน์ วิศุทธิสุวรรณ)

ลูกเดือย บำรุงกระดูก-สายตารักษาโรคเบาหวาน

image

ลูกเดือยจัดเป็นพืชตระกูลข้าว ในปัจจุบันนิยมนำมาเป็นส่วนผสมหนึ่งของน้ำ RC น้ำเพื่อสุขภาพคนที่ชอบกินอาหารเจ คงรู้จักลูกเดือยดี ในตำรายาจีนกล่าวว่า ลูกเดือย รสชุ่มจืด เย็น แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงม้าม ปอด กระเพาะอาหาร ม้าม ขับปัสสาวะ รวมทั้งบำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอด รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย แก้ไข้ เหน็บชา ชักกระตุก สตรีตกขาวมากกว่าปกติ
ในตำรายาจีนจึงมักใช้ลูกเดือยบดผสมข้าว ต้มเป็นข้าวต้มกินทุกวันเพื่อบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บวมน้ำ ปวดข้อไขข้ออักเสบ ปวดเข่าเรื้อรัง บำรุงม้าม ตับ ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้ทางเดินหายใจ เหน็บชา แก้ชักกระตุก ปอดอ่อนแอไอเป็นเลือด แก้อาการ ตกขาวผิดปกติ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงเส้นผมและผิวหนัง แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดการเกิดกระ รักษาโรคหูด นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการรับประทานลูกเดือยต้มน้ำตาลสามารถที่จะแก้ร้อนในได้
เมื่อพิจารณาส่วนประกอบทางเคมีของลูกเดือยมี คาร์โบไฮเดรต ๕๘-๖๒ % – ไขมัน ๕ % – โปรตีน ๑๒ % – น้ำ ๑๐.๘ % – ใยอาหาร ๘.๔ %
นอกจากนี้ในลูกเดือยยังมีวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง เป็นต้น ดังนั้นลูกเดือยเป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง จึงมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง และการที่มีวิตามินบีหนึ่งสูงจึงช่วยแก้เหน็บชาตามความเชื่อของชาวจีน
มีข้อมูลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ว่าสาร coxenolide ในเมล็ดเดือยมีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอก และพบว่าสารสกัดด้วยน้ำหรือตัวทำละลายอินทรีย์ จากรากหรือเมล็ดเดือยมีฤทธิ์ทำให้การหมุนเวียนของเลือดที่ผิวหนังดีขึ้น ทำให้เส้นผมเจริญดีขึ้น ลูกเดือยยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรัง ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยังยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก
สำหรับน้ำลูกเดือยให้ฟอสฟอรัสสูงมากช่วยบำรุงกระดูก รองลงมามีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงธาตุ เป็นอาหารสำหรับคนไข้พักฟื้น ช่วยเจริญอาหาร ลูกเดือย มีกรดอะมิโนที่กระตุ้นให้เซลล์สมองหลั่งสารที่ทำให้นอนหลับ สมองที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา จะได้หยุดพักชั่วคราว จึงแนะนำให้ผู้ที่นอนไม่หลับ ดื่มน้ำอุ่นผสมลูกเดือยจะช่วยให้นอนหลับได้
คุณค่าลูกเดือยยังมีอีกมากเพราะลูกเดือยมีกรดอะมิโนทุกชนิดที่สูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ยกเว้นเมทไธโอนีนและไลซีน เช่น มีกรดกลูตามิกในปริมาณมากตามด้วยลูซีน, อลานีน,โปรลีน วาลีน, ฟินิลอลานีน, ไอโซลูซีน และอาร์จีนีนลดหลั่นลงมา แถมลูกเดือยยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่น กรดโอเลอิค และกรดลิโนเลอิก รวมแล้วถึง ๘๔ % และเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว คือ ปาล์มิติ และสเตียริก เพียง ๑๖ % เท่านั้น
ลูกเดือยเป็นอาหารที่มีคุณภาพคับเมล็ดจริงๆ เพราะให้ทั้งพลังงาน ไขมัน แร่ธาตุ และกรดที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างยอดเยี่ยม รู้อย่างนี้แล้วบรรดา ส. (สูงวัย) ทั้งหลายรีบหามากินกันนะครับ
วิธีทำน้ำลูกเดือย นำลูกเดือยดิบมาประมาณ ๔ ถ้วยตวง ล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อเติมน้ำประมาณ ๑๐ ถ้วยตวง ตั้งไฟเคี่ยวจนลูกเดือยสุกเปื่อย ใส่น้ำตาลทราย ๒ ถ้วยตวง เกลือป่นเสริมไอโอดีน ๑ ช้อนชา พักไว้ให้เย็น แล้วใส่ในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด ก็จะได้น้ำลูกเดือยกินเพื่อสุขภาพ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก จำรัส เพชรนิล
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ประโยชน์ของลูกเดือย

ลูกเดือยมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีปริมาณโปรตีน 13.84% คาร์โบไฮเดรต 70.65% ใยอาหาร 0.23% ไขมัน 5.03% แร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะฟอสฟอรัสมีอยู่ในปริมาณสูงมากเมื่อเทียบกับธัญพืชชนิดอื่นๆ ซึ่งช่วยบำรุงกระดูก ฟัน เหมาะสำหรับผู้มีภาวะกระดูกพรุน วัยทอง เป็นอย่างมาก รวมทั้งมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 โดยเฉพาะวิมามินบี 1 มีในปริมาณมาก (มีมากกว่าข้าวกล้อง) ซึ่งช่วยแก้โรคเหน็บชาด้วย

ลูกเดือยมีโปรตีนสูงเทียบเท่าโปรตีนที่ได้จากข้าวโอ๊ต มีกรดอะมิโนทุกชนิดในลูกเดือยสูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก และกรดอะมิโน เป็นตัวสำคัญที่ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น เพราะกรดอะมิโนจะไปกระตุ้นให้เซลล์สมองหลั่งสารที่ทำให้นอนหลับ สมองก็จะพักการทำงานชั่วคราว ยิ่งกว่านั้นลูกเดือยยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่นกรดโอเลอิค

จากงานวิจัยพบว่า ลุกเดือย-ธัญพืชมหัศจรรย์ชนิดนี้ มีสารโคอิกซีโนไลด์ (Coixenolide) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ช่วยย่อยอาหาร ช่วยลดน้ำตาลและไขมันในเลือด ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ป้องกันหวัด บำรุงไต ลดความดันเลือดได้อีกด้วย

เคล็ดลับการหุงลูกเดือยให้อร่อย

หุงลูกเดือยผสมกับข้าวกล้อง มีวิธีทำดังนี้

1. แช่ลูกเดือย (เลือกพันธุ์ตามชอบ) ในน้ำทิ้งไว้ 6 ชั่วโมงถึง 1 คืน เพื่อให้เมล็ดดูดซับน้ำไว้จนอิ่มตัว (ถ้าไม่แช่น้ำเวลาต้มเมล็ดจะสุกยากหรือแข็งเป็นไต)

2. เทน้ำที่แช่ทิ้ง เติมน้ำสะอาดลงไป นำไปต้มจนลูกเดือยสุก โดยสังเกตว่าเมล็ดจะใส หรือตักเมล็ดขึ้นมาบี้ดู เนื้อจะนิ่ม

3. หากต้องการลดระยะเวลาในการต้ม สามารถใส่เบกกิ้งโซดาเล็กน้อยลงไปในน้ำต้ม จะช่วยทำให้เมล็ดสุกเร็วขึ้น

4. ปิดไฟ ใช้กระชอนตักเมล็ดขึ้น แล้วแช่ลงในน้ำธรรมดาหรือน้ำเย็น เพื่อให้เมล็ดกระจายตัว ไม่เกาะกันเป็นก้อน จากนั้นยกกระชอนขึ้น สะเด็ดน้ำ ตักลูกเดือยใส่ถุงพลาสติคในปริมาณที่จะกินแต่ละวัน มัดปากถุงให้แน่น แล้วนำไปแช่ในตู้เย็นช่องแช่แข็ง

5. เมื่อจะหุงข้าว นำลูกเดือยออกจากตู้เย็น หลังซาวข้าวกล้องเรียบร้อยแล้ว ใส่ลูกเดือยแช่แข็งลงไป ปิดฝาหม้อ กดปุ่มหุงข้าวได้ทันที ลูกเดือยจะกระจายตัวผสมรวมกับข้าวกล้อง และไม่ทำให้ข้าวกล้องแฉะ

ซุปลูกเดือย

ส่วนผสมซุปลูกเดือย

ลูกเดือย 1 ถ้วย

อกไก่ 1 ชิ้น

แครอทสับ 1/2 ถ้วย

หอมหัวใหญ่สับ 3 ช้อนโต๊ะ

เห็ดหอมหั่นบาง 1/4 ถ้วย

โรสแมรี่ 1/2 ช้อนชา

นมสด 1/2 ถ้วย

พริกไทย 1 ช้อนชา

เกลือ 1 ช้อนชา

น้ำตาล 1 ช้อนชา

พาเมซานชีสนิดหน่อย

วิธีทำซุปลูกเดือย

1. ต้มลูกเดือยให้สุกก่อน นำอกไก่มาหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า

2. นำหม้อตั้งน้ำให้ร้อน ใส่อกไก่ลงไป พอเดือดก็ใส่ส่วนผสมลูกเดือยที่เราต้มแล้ว ใส่แครอทสับ ใส่หอมหัวใหญ่สับ ใส่เห็ดหอมหั่นบาง ใส่นมสด แล้วต้มให้สุก

3. พอสุกก็ใส่ โรสแมรี่ พริกไทย เกลือ น้ำตาล ชิมรสอีกครั้ง แล้วตักใส่ถ้วยโรยหน้าด้วยพาแมซานชีส ก็พร้อมเสิร์ฟ

หากไม่ชอบทานเนื้อไก่ สามารถเปลี่ยนเป็น หอยนางรม หอยเชลล์ ก็ได้ หากชอบรสจัดก็เติมเกลือและน้ำตาลเพิ่มได้ตามชอบ

กินลูกเดือยสลับกับกินธัญพืชชนิดอื่นๆ รับรองว่า ความฉลาด หุ่นดี อ่อนเยาว์ และอายุยืน

รับมือโรคหอบหืดด้วยพริกหยวก

image

โรคหอบหืดเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศเย็น ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำคอ โพรงจมูก และระบบทางเดินหายใจ สามารถรุกล้ำเข้าสู่หลอดลมและลงปอดได้ง่าย และทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น แต่อาการเหล่านี้สามารถรับมือได้ด้วยการทานพริกหยวก

พริกหยวกเป็นพืชประจำฤดูหนาวชนิดหนึ่ง ในพริกหยวกนั้นอุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยในการต่อต้าน อนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหอบหืด โดยวิตามินซีในพริกหยวกจะเข้าไปทำหน้าที่ จับตัวอนุมูลอิสระเหล่านั้นเพื่อให้มีค่าเป็นกลาง และทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้ดีขึ้น

ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ด้วยอาหาร 9 ชนิด

image

ช่วงนี้คุณมีอาการหลงๆ ลืมๆ บ้างหรือเปล่าครับ ถ้ามีนั่นคือสัญญาณเบื้องต้นของโรคอัลไซเมอร์ อย่าเพิ่งตกใจไปครับ เพราะโรคนี้ป้องกันได้ด้วยการรับประทานอาหารเหล่านี้
1.น้ำมันสลัด ที่อุดมไปด้วยวิตามิน E จะช่วยป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง
2.เนื้อปลา DHA ช่วยในการทำงานของเซลล์ประสาท
3.ผักใบเขียว เป็นแหล่งของกรดโฟเลตช่วยลดระดับของกรดอะมิโนชนิด Homocysteine สาเหตุของการเสื่อมสภาพของเซลล์
4.อะโวคาโด มีวิตามิน E สูงป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง และช่วยบำรุงผิว
5.เมล็ดทานตะวัน อุดมไปด้วยวิตามิน E ป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง
6.ถั่วลิสงและเนยถั่ว แหล่งของไขมันที่ดี และเต็มไปด้วยวิตามิน E ช่วยให้หัวใจและสมองมีสุขภาพดีและทำงานอย่างถูกต้อง
7.ไวน์แดง หากดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์
8.ผลเบอร์รี่ ช่วยกำจัดสารพิษของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียความจำ
9.ธัญพืชไม่ขัดสี ลดปัจจัยเสี่ยงของหลอดเลือด ซึ่งอาจมีบทบาทในการเกิดโรคจากสมอง

5 อาหารดีๆ บำรุงไต

image

○○ 5 อาหารดีๆ บำรุงไต ○○

การรับประทานอาหารหลายๆอย่างที่มากเกินความจำเป็น จะทำให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารบางชนิดเกินกว่าความต้องการและอาจทำให้ “ไต” ต้องทำงานหนักและเสื่อมเร็วได้
         แต่สำหรับอาหารบางชนิดเมื่อรับประทานแล้วมีส่วนช่วยบำรุงไตให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เช่น กระเทียมสด ,หอมหัวใหญ่,กะหล่ำปลี ,ปลาสด และแครนเบอร์รี่
        1. กระเทียมสด  จะมีสารอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดี มีสรรพคุณในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา รวมทั้งป้องการโรคหัวใจโรคหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ที่สำคัญยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไต และการอักเสบต่างๆ
        2. หอมหัวใหญ่  เป็นอาหารบำรุงสุขภาพสำหรับคนที่มีระดับครีเอตินิน ในระดับสูง หรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคไต ซึ่งในหอมหัวใหญ่จะมีสารประกอบธรรมชาติอย่างโพรสตาแกลนติน ที่มีคุณสมบัติในการลดความหนืดของเลือด และช่วยลดความดันของเลือด ซึ่งจะทำให้ลดอาการโรคไตลงได้
        3. กะหล่ำปลี  จะมีวิตามิน C กรดฟอลิก เส้นใย และยังมีโพแทสเซียมต่ำ ซึ่งสามารถขจัดสารพิษบางอย่างออกจากร่างกายได้ ทำให้ลดภาระการทำงานของไตได้ และป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทั้ง 2 โรค สามารถเชื่อมโยงการเกิดโรคไตได้
        4. ปลาสด เช่น แซลมอน เทราต์ และซาร์ดีน  อุดมไปด้วยโปรตีนและโอเมก้า 3 ที่คนไม่สามารถผลิตเองได้ ซึ่งการกินปลาสดเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิต และคอเลสเตอรอลสูงได
        5. แครนเบอร์รี่   ผลไม้ลูกเล็กสีแดงที่จะช่วยเพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ และลดความเสี่ยงในการเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ด้วย

     ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า

มนุษย์ ‘อาหารกล่องโฟม’ คนกินเสี่ยงมะเร็ง 6 เท่า

image

คุณรู้หรือไม่ ผู้ที่ทานอาหารตามสั่งที่บรรจุกล่องโฟม มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า
          (star) “กล่องโฟม” ภาชนะบรรจุอาหารที่นิยมใช้ตามท้องตลาดทั่วไป มักมีสีขาวๆ น้ำหนักเบา และราคาถูก แต่คุณเชื่อไหมว่า สิ่งเหล่านี้ ทำมาจากของเสียเหลือทิ้งสีดำๆ จากกระบวนการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ที่ผ่านกระบวนการผลิตให้ดูน่ากินน่าใช้ แต่บรรจุภัณฑ์ดังกล่าว ประกอบด้วยสารสไตรีน (Styrene) ซึ่งผู้ที่ได้รับสารดังกล่าวในปริมาณที่ต่อเนื่อง จะทำให้สมองมึนงง และเสื่อมง่าย หงุดหงิดง่าย ในผู้หญิง จะมีผลทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ มะเร็งเต้านม ส่วนผู้ชาย จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก และทั้งชายหญิง จะเสี่ยงต่อมะเร็งตับอีกด้วย
          (star) บรรจุภัณฑ์จากโฟมที่มีรูปทรงน่าสนใจ ราคาไม่แพง
          นอกจากนี้ สารสไตรีน ยังมีผลต่อทารกในครรภ์ สำหรับแม่ที่รับประทานอาหารบรรจุในกล่องโฟม ลูกมีโอกาสสมองเสื่อมเป็นเอ๋อ เสี่ยงพิการ ซึ่งถ้ารับประทานอาหารกล่องโฟมทุกวัน วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่าเลยทีเดียว
          ส่วนปัจจัยที่ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับสารสไตรีนในกล่องโฟม ความร้อนจัด หรือเย็นจัด จะเป็นปัจจัยที่เร่งให้สารสไตรีน สะสมในอาหารได้โดยง่าย และยิ่งถ้าอาหารชนิดนั้นมีส่วนผสมวของน้ำมัน น้ำส้มสายชู แล้ว จะยิ่งทำให้อาหารดูดสารสไตรีนจากกล่องโฟมได้มากกว่าปกติอีกด้วย
          (star) ผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษชานอ้อย
          ทั้งนี้ เมื่อเรามองเห็นถึงอันตรายจากการบริโภคอาหารจากกล่องโฟมแล้ว เชื่อว่า หลายคนอาจตระหนักถึงพิษภัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่หากจำเป็นต้องรับประทานอาหารกล่อง ลองเลือกร้านที่ใช้กล่องเยื่อกระดาษชานอ้อย ซึ่งมีความปลอดภัยสูง หรือจะยอมเสียเวลาสั่งใส่จาน แล้วรับประทานไปเลยปลอดภัยกว่าเยอะ

          ที่มา: เว็บไซต์แนวหน้า

แอปเปิ้ลแต่ละสีมีประโยชน์ต่างกัน

image

แอปเปิ้ล ผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน

หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก ประโยชน์ของแอปเปิ้ลที่คุณควรรู้มีดังต่อไปนี้

แอปเปิ้ลที่เห็นตามท้องตลาด มีทั้งเปลือกสีแดง สีชมพู สีเขียว และสีเหลือง แตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ แต่เนื้อข้างในก็เหมือนกันคือ เป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล ทราบไหมว่า เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล จะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม

นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส
แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวก็จะลดลงไปด้วย มีความเชื่อของฝรั่งกล่าวไว้ว่า การรับประทานแอปเปิ้ลวันละผล ช่วยให้ห่างไกลหมอได้ โดยแอปเปิ้ลแต่ละสีก็มีประโยชน์ต่างกันดังนี้

แอปเปิ้ลสีแดง

ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย

แอปเปิ้ลสีชมพู

คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

แอปเปิ้ลสีเขียว

มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี

แอปเปิ้ลสีเหลือง
มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

ต่อจากนี้ไปก่อนซื้อแอปเปิ้ลคงต้องพิจารณาก่อนว่าช่วงนั้นร่างกายต้องการอะไร อยากผิวสวยต้องแอปเปิ้ลแดงกับเขียว อยากฟันแข็งแรงต้องแอปเปิ้ลชมพู แต่ถ้าอยากลดหุ่นสีไหนก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้นแหละค่ะ มากินแอปเปิ้ลกันดีกว่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

มหัศจรรย์แห่งชีวิต… หลักคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี…

image

๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน ?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ
ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี ?
( ๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
( ๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
( ๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
( ๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี ?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน ?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา ?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี ?
( ๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
( ๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
( ๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร ?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี ?
( ๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
( ๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
( ๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร ?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี ?
( ๑) หางานใหม่
( ๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
( ๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
( ๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย ?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม ?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน ?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี ?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร ?
( ๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
( ๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
( ๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี ?
( ๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
( ๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
( ๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี ?
( ๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
( ๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
( ๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก ?
( ๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
( ๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
( ๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม ?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา
แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน

“11 สิ่ง ที่โรงเรียนไม่ได้สอนคุณ”

image

ข้อ 1
ชีวิตไม่เคยยุติธรรม ชินกับมันซะ

ข้อ 2
โลกไม่เคยแคร์กับความมั่นใจในตัวเองของคุณ โลกหวังจะเห็นความสำเร็จจากคุณก่อนที่คุณจะภูมิใจอะไรกันนักกันหนากับตัวคุณ

ข้อ 3
ทันที ที่คุณจบจากม.ปลาย คุณจะไม่สามารถหาเงินได้เดือนละแสน และคุณก็ไม่สามารถเป็นรองประธานบริษัทที่มีรถประจำตำแหน่งได้ จนกว่าคุณจะคู่ควรที่จะได้สิ่งเหล่านี้

ข้อ 4
ถ้าคุณคิดว่าครูคุณเขี้ยวแล้วหละก็ คุณต้องลองเจอกับเจ้านายในอนาคตของคุณซะก่อน

ข้อ 5
งานกระจอกไม่ได้ทำให้คุณด้อยค่า บางทีปู่คุณอาจเคยเป็นนายกระจอกมาก่อน เขาเรียกมันว่า โอกาส

ข้อ 6
ถ้าคุณห่วย อย่าโทษพ่อแม่คุณ แล้วก็อย่าบ่นโวยวายกับความผิดพลาดของคุณ เรียนรู้จากมันซะ

ข้อ 7
ก่อน ที่คุณจะเกิด พ่อแม่คุณไม่ได้น่าเบื่อแบบที่เค้าเป็นทุกวันนี้หรอก แต่เป็นเพราะเค้าทำงานหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายให้คุณ ซักผ้าให้คุณ ฟังคุณคุยโวต่างๆนาๆต่างหาก ดังนั้นก่อนจะไปอนุรักษ์ป่าไม้ ลองจัดตู้เสื้อผ้าในห้องคุณก่อนดีมั๊ย

ข้อ 8
โรงเรียน อาจจะแบ่งคนออกเป็นผู้แพ้ผู้ชนะได้ แต่ชีวิตไม่เป็นแบบนั้น ในบางโรงเรียนสอนให้คุณแพ้ แถมยังให้โอกาสตั้งหลายครั้งกว่าคุณจะทำถูก นี่มันไม่ได้เหมือนชีวิตจริงเอาซะเลย

ข้อ 9
ชีวิต ไม่ได้แบ่งเป็นเทอม ไม่มีช่วงซัมเมอร์ แล้วเจ้านายส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สนใจจะให้คุณปิดเทอมไปค้นหาชีวิตคุณหรอกนะ ถ้าจะไปค้นหาอะไร ทำซะเดี๋ยวนี้ด้วยเวลาที่คุณยังมี

ข้อ 10
สิ่งที่คุณเห็นในละครทีวี มันไม่ได้เป็นจริงหรอกนะ เพราะคนส่วนใหญ่รีบดื่ม

♡♡ ความลับสีขาว..แง่คิดดีๆสำหรับชีวิตคู่ ♡♡

image

♡♡ ความลับสีขาว..แง่คิดดีๆสำหรับชีวิตคู่ ♡♡

ผู้ชายคนหนึ่ง เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงที่สวยมาก ใช้ชีวิตคู่กันอย่างมีความสุข
แต่ในวันหนึ่ง ภรรยาของเขาป่วยเป็นโรคชนิดหนึ่ง
ซึ่งนางก็กังวลว่าสักวันหนึ่ง ความสวยงามที่มีอยู่ในตัวของนางจะหายไป
แต่ในขณะนั้นสามีของนางออกนอกบ้าน เขายังไม่รู้ว่าภรรยาของเขาป่วยเป็นโรคชนิดนี้
แต่บังเอิญว่า ช่วงที่สามีจะกลับมาที่บ้านเขาได้รับอุบัติเหตุกลางทางเสียก่อน
และอุบัติเหตุในครั้งนี้ทำให้เขาต้องเสียการมองเห็น หรือตาบอด

ชีวิตคู่ของพวกเขาทั้งสองก็ดำเนินมาอย่างเรื่อยๆ
และโรคที่อยู่กับภรรยาของเขา ยิ่งวันก็ยิ่งทำให้ความสวยงามของนางยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ
และผู้เป็นสามีเองก็เสียการมองเห็น จึงทำให้ชีวิตคู่ของพวกเขาทั้งสองดำเนินไปจนถึง 40 ปี และความรักที่มีให้กันนั้น ก็ยังเป็นเหมือนวันที่พวกเขาทั้งสองได้ใช้ชีวิตคู่

ในตอนแรกๆ สามีให้ความเคารพต่อภรรยา และภรรยาก็ปฏิบัติตามทุกคำสั่งสอนที่ดีของสามี
จนกระทั่งมาถึงวันที่ภรรยาของเขาเสียชีวิต ผู้เป็นสามีก็
โศกเศร้าเสียใจกับการจากไปของนาง

หลังจากฝังศพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้คนก็ทยอยกันกลับบ้าน
ผู้เป็นสามีก็ลุกขี้นยืน แล้วจะเดินกลับไปบ้านคนเดียว
ผู้คนที่ยังอยู่ที่นั่นก็ทักเขาว่า
“นี่คุณจะเดินไปไหน ?”
เขาตอบว่า
“จะกลับบ้าน”

ผู้คนที่นั่นก็ถามด้วยเสียงเศร้าว่า
“แล้วคุณจะเดินคนเดียวได้อย่างไร ? ก็ในเมื่อคุณตาบอด ที่ผ่านมาภรรยา
ของคุณเดินจูงคุณไปไหนมาไหนตลอดไม่ใช่หรือ ?”
เขาก็ตอบว่า :
“ฉันไม่ได้ตาบอด ที่ผ่านมาฉันแกล้งทำว่าตัวเองตาบอดเพราะว่าฉันไม่อยาก
ที่จะทำร้ายจิตใจของภรรยาฉัน กับการที่เธอได้พยายามปกปิดเรื่องโรคของ
เธอ เพื่อไม่อยากที่จะทำร้ายจิตใจของฉัน และส่วนตัวฉัน ก็ได้พยายามปก
ปิดเธอว่าฉันตาบอด ก็เพื่อไม่อยากทำร้ายจิตใจของเธอ ต่างคนก็ต่างพยา
ยามปกปิด ก็เพื่อที่จะให้ชีวิตคู่นั้นยืนอยู่ได้นานเท่านาน”

ในตัวของคนเรานั้น ใครๆ ต่างก็มีความผิดพลาดกันทั้งนั้น
จะดีแค่ไหนถ้าเราทำเป็นมองไม่เห็นกับความผิดพลาดเหล่านั้น
ก็เพราะว่าสักวันหนึ่ง ตัวเราเองก็หนีไม่พ้นจากความผิดพลาด
และคนที่อยู่กับเราก็เช่นกัน ถ้าหากว่าเขาได้รับรู้ว่าเราพยายามปกปิดเรื่องที่ไม่ดีของเขาแล้ว
ตัวเขาจะซาบซึ้งใจมากแค่ไหน
และเมื่อเขาได้รับรู้ว่าเราเองก็มีสิ่งที่ไม่ดีเช่นกัน และเขาก็จะพยายาม
ปกปิดสิ่งที่ไม่ดีของเราเหล่านั้น เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข

ขอบคุณเรื่องราวจาก ทอฝัน เกตุวิภา