งาดำ ราชินีแห่งพืชน้ำมัน ราชันแห่งธัญพืช

image

งาดำ ผลวิจัยว่า กินวันละ 4 ช้อนชา ไม่อ้วน ไม่แก่ตามวัย ไม่เป็นมะเร็ง มีแคลเซียมมากกว่านมวัว 6 เท่า มีธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ทองแดง และมีวิตามินบีหลายชนิด ที่ดีต่อระบบประสาท ช่วยให้นอนหลับ สดชื่นกระฉับกระเฉง มีสารบำรุงประสาทด้วย และมีวิตามินอีเป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ห่างไกลมะเร็ง

งาดำ ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งพืชน้ำมัน ราชันแห่งธัญพืช”  ในงาดำมีสารสำคัญคือ “เซซามิน” รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบัณฑิตศึกษาและอาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับ สารสกัดงาดำ “เซซามิน” พบว่ามนุษย์มีองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากงามากว่า 4,000 ปีแล้ว “เซซามิน” ในงาดำมีคุณประโยชน์ 8 ประการ คือ

1. ช่วยเผาผลาญ สลายไขมัน ลดความอ้วน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ
2. ลดการดูดซึม และการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล
3. ทำให้ระดับไขมันอยู่ในสัดส่วนพอดี
4. เสริมการทำงานของวิตามินอี
5. ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ในระบบประสาท
6. ลดปฏิกิริยาความเครียด
7. ต้านอนุมูลอิสระ
8. ต้านการอักเสบ

สรรพคุณลดการอักเสบ มีการทดลองกับกระดูกอ่อนของหมู พบว่าสารเซซามินที่สกัดจากงาดำสามารถยับยั้งการเสื่อมสลายของเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่ห่อหุ้มข้อต่างๆ ของร่างกายได้ จึงเชื่อว่าจะมีสรรพคุณเช่นเดียวกันเมื่อนำมาใช้กับคน ทั้งนี้กำลังอยู่ระหว่างการเริ่มทดลองขั้นสูงในระดับคลินิกต่อไป

วิธีทำกินเอง
นำงาดำมาคั่วแล้วบด กินวันละไม่เกิน 4 ช้อนชา
* ต้องควบคุมคุณภาพให้ได้ควรทำกินใหม่ๆ เพราะคั่วไว้นานๆ อาจทำให้เกิดสารพิษก่อมะเร็งได้
* ไม่มีข้อห้ามว่าใครไม่ควรกินงาดำ แต่ก็อาจมีบางคนที่แพ้งาดำ ดังนั้นต้องทดลองกินน้อยๆ ก่อน

นพ.ไพศิษฐ์ ตระกูลก้องสมุท ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ รพ.สมิติเวช สุขุมวิท บอกว่า การดูแลตัวเองให้อ่อนเยาว์อยู่เสมอ ให้หลีกเลี่ยง แสงแดด อาหาร การเผาผลาญในร่างกาย ความเครียด มลพิษต่างๆ ฯลฯ เพราะจะเร่งการทำลายเซลล์ต่างๆ ในร่างกายให้เสื่อมเร็วขึ้น ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ

ที่สำคัญสุดๆ คือกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อาทิ กลุ่มของธัญพืชอย่าง งาดำ เพราะงาดำนอกจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูงแล้ว ยังมีสารเซซามินสารต้านอนุมูลอิสระชั้นสูง ที่สามารถดักจับอนุมูลอิสระ สาเหตุของริ้วรอยและปัญหาผิวเหี่ยวย่น ด้วยการช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ และการดูดซึมไขมัน รวมถึงเพิ่มออกซิเจนให้ผิว

แนะนำเทคนิคสำคัญในการกินงาดำให้ได้ประโยชน์นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบดให้ป่น หรือเคี้ยวให้ละเอียด ซึ่งจะได้ทั้งกากใย และสารอาหารที่มีประโยชน์ในเมล็ดงาอย่างครบถ้วน

******* *******
ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อความพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานไปต่อยอดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่ตอบคำถามเพิ่มเติม  ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ประจำหน้าเพจ
เรียบเรียงโดย ชีวอโรคยา อ้างอิงข้อมูลจาก dailynews.co.th/article/251540 / น้ำมันงาดำดอทคอม
ภาพโดย ชีวอโรคยา สงวนลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2558  

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ
ติดตามข้อมูลข่าวสาร การดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

สูตรน้ำดีท็อกซ์ล้างลําไส้ ทำติดกัน 3 วัน สวยใส หุ่นเฟิร์ม

image

การดูแลและรักษาสุขภาพ เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนพยายามเรียนรู้เพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ และโดยเฉพาะให้ห่างจากค่ารักษาพยาบาลอันสุดแสนแพง ในขณะที่เจ็บป่วยจำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาล เป็นข้อที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การมีสุขภาพที่ดีจึงเป็นลาภอันประเสริฐ

เดี๋ยวนี้การดีท็อกซ์ลำไส้ไม่จำป็นต้องไปถึงโรงพยาบาลแล้วคะ เพราะเราก็สามารถดีท็อกซ์ลำไส้ด้วยด้วยตัวเองได้ที่บ้านเลย ด้วยสูตรเครื่องดื่มดีท็อกล้างลำไส้ที่เราก็ทำเองได้ง่าย ๆ แถมประหยัดตังค์กว่าไปทำที่โรงพยาบาลเป็นไหน ๆ ลองทำติดต่อกัน 3 วัน ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้คุณถ่ายคล่อง พุงยุบ เริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างมั่นใจเพราะพุงยุบใส่ชุดอะไรก็สวย และที่สำคัญผิวพรรณจะสดใสขึ้นด้วย

สูตรที่ 1 น้ำเปล่า + เม็ดแมงลัก

สูตรนี้ง่าย ๆ เลย แค่เตรียมน้ำร้อน 1 แก้ว ใส่เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา รอ 30 นาทีให้เม็ดแมงลักพองตัวเต็มทีก่อนแล้วค่อยดื่ม สูตรนี้แนะนำให้ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะมีใยอาหารสูงและมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ จึงช่วยในการลากอุจจาระที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารออกมาได้อย่างดีเลยทีเดียว ตื่นเช้ามาถ่ายคล่อง สบายพุง เบาตัวไปอีก

สูตรที่ 2 น้ำเปล่า 1 ลิตร + มะนาว 2 ลูก + เกลือ 2 ช้อนชา

ใครจะทำสูตรนี้แนะนำว่าให้ทำวันหยุด เพราะทำสูตรนี้แล้วคุณจะถ่ายแบบไม่เป็นเวลาเลยทีเดียว เตรียมน้ำเปล่า 1 ลิตร บีบน้ำมะนาว 2 ลูก แล้วตามด้วยเกลือ 2 ช้อนชา และเขย่าให้เข้ากัน พยายามดื่มให้หมดภายใน 10-20 นาที พอดื่มหมดขวดแล้วสักพักคุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำทันที สูตรนี้จะช่วยให้คุณถ่ายแบบหมดลำไส้จริง ๆ  เหมือนช่วยผลักของเก่าที่มีอยู่ออกมาจนหมด สบายพุงแน่นอน แต่สูตรนี้แนะนำให้ทำอาทิตย์ละครั้งพอนะคะ ทำทุกวันไม่ไหวจริง ๆ

สูตรที่ 3 โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว

ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย, นมสดรสจืด 100% 1 กล่อง, น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และน้ำมะนาวครึ่งลูก คนให้เข้ากับแล้วดื่มทันที ห้ามวางแช่ทิ้งไว้ ถ้าดื่มก่อน 7 โมงเช้าจะดีมาก สูตรนี้ช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงาน เมื่อเราถ่ายคล่อง พุงก็ยุบตามไปด้วย ใส่ชุดไหนก็มันใจละวันนี้

สูตรที่ 4 นมสด + กล้วยน้ำหว้า

สูตรนี้ใช้นมสด 2 กล่อง (รวมปริมาณประมาณ 500 มิลลิลิตร) กินพร้อมกับกล้วยน้ำหว้า 2 ผล หรือจะเอาไปปั่นรวมกันแล้วดื่มก็ได้ ดื่มตอนท้องว่างหลังตื่น ดื่มก่อน 6 โมงเช้าได้ยิ่งดี เพราะเราจะได้ถ่ายก่อน 7 โมงเช้า สูตรนี้ก็จะไปกระตุ้นให้ถ่ายออกมา แนะนำให้ทำติดต่อกัน 3 วัน จะช่วยให้เราขับถ่ายเป็นเวลาด้วย

เห็นไหมล่ะค่ะว่าเรามีวิธีการดีท็อกดีๆ ที่ทำได้ง่ายๆไม่ยุ่งยาก ที่ใครๆสามารถทำทานได้เองที่บ้าน มีสิ่งดีๆอย่าลืมบอกต่อ แชร์ต่อให้คนรอบข้าง ให้คนที่เรารักได้รักษาสุขภาพเหมือนเรานะค่ะ

ข้อมูลดีๆจาก cosmenet

តៅហ៊ូ เต้าหู้อาหารมากคุณค่า และวิธีเลือกซื้อเต้าหู้

image

เต้าหู้  กำเนิดมากว่า 2,000 ปี ในจีนแผ่นดินใหญ่ คนจีนบางกลุ่มถือว่าเต้าหู้เป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงที่อยู่ในความธรรมดาสามัญ คนไทยเรียกเต้าหู้เพี้ยนมาจากภาษาจีนว่า โตวฟู คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า โทฟุ (tofu) คนอังกฤษเรียก bean curd หรือบางครั้งก็เรียกทับศัพท์ว่า tofu เช่นกัน ส่วนชาวฝรั่งเศสเรียกว่า fromage de soja (ชีสถั่วเหลือง)

เต้าหู้เป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มีคุณค่าทางโภชนาการสูงโดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งให้โปรตีนมากกว่าเนื้อสัตว์บางชนิดถึง 2 เท่าของปริมาณที่เท่ากันและมีราคาถูกอีกด้วย

ถั่วเหลืองที่นำมาผลิตเป็นเต้าหู้ยังมีเลซิทิน ซึ่งมีผลในการลดไขมันและช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวกับความทรงจำ รวมทั้งฮอร์โมนจากพืชที่เรียกว่า ไฟโทเอสโทรเจน ที่มีการวิจัยพบว่ามีผลในการป้องกันมะเร็งและมีผลดีต่อผู้หญิงวัยทอง คือ ช่วยชะลอภาวะหมดประจำเดือนและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

เต้าหู้แต่ละชนิดมีวิธีการทำที่แตกต่างกันออกไป เช่น
เต้าหู้ชนิดขาวแข็ง ทำจากน้ำเต้าหู้ผสมกับดีเกลือ (แมกนีเซียมซัลเฟต) ซึ่งช่วยทำให้เกิดการตกตะกอน เมื่อตกตะกอนแล้วจึงนำไปใส่ในผ้าขาวที่ปูอยู่ในบล็อก เมื่อสะเด็ดน้ำแล้วจึงห่อให้เป็นก้อนแล้วทำให้สะเด็ดน้ำอีกครั้ง ก็จะได้เป็นเต้าหู้ขาวแข็ง

เต้าหู้ชนิดเหลืองแข็ง วิธีการทำนำเต้าหู้ขาวแข็งไปหมักในเกลือแล้วจึงนำไปต้ม พร้อมทั้งใส่ขมิ้นให้เป็นสีเหลืองเคลือบบริเวณผิวของเต้าหู้ทำให้เนื้อเต้าหู้ชนิดนี้แข็ง และมีความยืดหยุ่นกว่าชนิดขาวแข็ง ส่วนใหญ่นำไปทำผัดไทย หมี่กะทิ ผัดถั่วงอก ผัดขลุกขลิกน้ำพริกเผาหรือนำไปผสมเป็นเครื่องก๋วยเตี๋ยวหลอด

วิธีเลือกซื้อเต้าหู้
1. ทดสอบว่าเต้าหู้ยี่ห้อนั้นใส่สารกันบูดหรือไม่ โดยการนำมาวางไว้ที่อุณหภูมิห้อง 1 วัน ถ้าเสีย แสดงว่าไม่ใส่สารกันบูด

2. ต้องไม่มีเหงื่อหรือน้ำขุ่นขาวซึมออกมาจากเต้าหู้

3. เมื่อดมดูแล้วต้องไม่มีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นเปรี้ยว

4. สีใกล้เคียงกันทั้งก้อนไม่คล้ำและไม่มีจุดด่างดำ

เต้าหู้เหมาะกับทุกคนในครอบครัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่วัย 40 ปีขึ้นไป เพราะเต้าหู้จะช่วยให้ระบบการย่อยทำงานได้ดีขึ้น

จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณ หากทานกล้วยที่มีจุดสีดำบนเปลือก!!

image

คนจำนวนมากนั้นชอบที่จะทานกล้วย แต่พวกเขาคงต้องการที่จะทราบบางสิ่งเกี่ยวกับมันก่อนที่จะทำการซื้อในครั้งต่อไป ลองอ่านข้อความด้านล่างนี้และระมัดระวังการทานผลไม้ชนิดนี้ในครั้งต่อไปกันให้ดี

กล้วยสุกงอมนั้นเต็มไปด้วยสาร TNF (ทิวเมอร์ เนคโครซิส แฟคเตอร์ – Tumor Necrosis Factor) มันเป็นสารที่สามารถต่อสู้กับเซลล์ที่มีความผิดปกติได้ ยิ่งมีจุดดำบนเปลือกกล้วยมากขึ้นเท่าไหร่นั้น ก็ยิ่งทำให้กล้วยสุกนั้นมีประโยชน์มากขึ้นในการปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้ยืนยันออกมาว่า สาร TNF ที่ถูกพบในกล้วยนั้น จะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่ให้เกิดเป็นโรคมะเร็งขึ้นได้ ดังนั้นการบริโภคกล้วยก็จะสามารถป้องกันเนื้องอกให้กับคุณได้เช่นกัน

นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้ทำการทดลองจนค้นพบว่า นอกจากกล้วยจะมีสาร TNF (สารต้านมะเร็ง) แล้วนั้น มันยังช่วยเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย คำแนะนำก็คือให้ทานกล้วย 1 – 2 ลูกต่อวัน เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของคุณ

กล้วยที่มีจุดที่ดำได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มันดีต่อสุขภาพมากกว่ากล้วยเปลือกสีเขียว หรือในกล้วยที่สดใหม่ซึ่งไม่มีจุดให้พบเห็นบนเปลือกของมันเลย 

คุณสามารถเอาชนะเซลล์มะเร็งได้โดยได้รับความช่วยเหลือจากสาร TNF ผลกระทบที่กล้วยมีต่อร่างกายนั้นมันจะเชื่อมโยงยังเลนติแนน (Lentinan) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นในการสร้างภูมิคุ้มกัน และเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวต่อต้านเซลล์มะเร็ง สรุปคือกล้วยสุกนั้นมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง เพราะมันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของเซลล์เม็ดเลือดขาว และป้องกันไม่ให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ขึ้นมาได้ 

หมายเหตุ : ในการป้องกันไม่ให้สูญเสียการได้รับวิตามินจากการทานกล้วยนั้น คุณควรนำกล้วยสุกไปแช่ไว้ในตู้เย็น หรือทานกล้วยเมื่อพบจุดดำบนเปลือกในทันที

ล้างพิษด้วยถั่วเขียว

image

ล้างพิษด้วยถั่วเขียว สรรพคุณ ดับร้อน ถอนพิษไข้
ขับปัสสาวะ แก้อาการอาหารเป็นพิษ หรือตัดพิษจากสมุนไพร ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง มีประโชน์ต่อตับ (ธาตไม้) แก้ร้อนใน ถอนพิษจากพืชและสารหนู บำรุงสายตา ลดความดันโลหิต รักษาอาการกระหายน้ำ ลำไส้อักเสบ เบาหวาน ช่วยกระตุ้นประสาท โดยมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และแคโรทีนเป็นส่วนประกอบ

กรณีใช้ถอนพิษจากพืช และสารหนู ให้นำถั่วเขียวล้างให้สะอาด นำไปต้มกับน้ำประมาณ ๕-๑๐ นาที แล้วเทเอาน้ำถั่วเขียวให้ผู้ที่ได้รับพิษดื่มเข้าไปมากๆ จนอาเจียนออกมายิ่งดี จะช่วยขับพิษที่เข้าไปในร่างกายได้ดีมาก

ส่วนสารพิษจากยาฆ่าแมลง สารพิษจากโรงงาน สารพิษกลุ่มนี้มันแพ้ถั่วเขียว การกินถั่วเขียวสามารถล้างสารพิษของยาฆ่าแมลงได้ แล้วก็ค้นพบอีกว่า ถั่วเขียวต้มธรรมดามันไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ วิธีที่จะทำให้ถั่วเขียวแรงกว่าเดิมและขจัดสารพิษจากยาฆ่าแมลงได้คือ เอาไปต้มกับข้าวหรือ เอาไปหุงพร้อมกันกับข้าวแค่นี้ง่ายมาก

ใช้ถั่วเขียว 1 ส่วน ข้าว 1 ส่วน ต้มด้วยกันให้เป็นข้าวต้ม หรือไปหุงกับข้าวโดยเอาถั่วเขียวไปแช่น้ำก่อน ๑ คืนแล้วน้ำไปหุงพร้อมกับข้าวสาร ข้าวต้มถั่วเขียวและข้าวสวยใส่ถั่วเขียว กินล้างสารพิษของยาฆ่าแมลงได้

ข้าวต้มถั่วเขียวใช้ ข้าวเจ้า 1 ส่วน + ถั่วเขียว 1 ส่วน ต้มด้วยกัน กลายเป็นข้าวต้มอร่อย แทบไม่ต้องกินกับข้าวเลยนะสูตรนี้ ส่วนจะกินกับข้าวอะไรก็ได้ ก็ทำเป็นข้าวต้มธรรมดา ใครจะกินเป็นประจำก็จะล้าง สารพิษจากยาฆ่าแมลง และสารพิษจากโรงงาน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : สมาคมเภสัชและอายุรเวชโบราณแห่งประเทศไทย

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ประโยชน์ของถั่วเขียว
1.โพแทสเซียมช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อในร่างกายให้แข็งแรง
2.ถั่วเขียวมีสารต้านเอนไซม์โปรตีเอสในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านมะเร็ง
3.ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัด
4.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยในการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ช่วยผลิตโปรตีน และกาดหดตัวข้องกล้ามเนื้อ
5.ช่วยลดความดันโลหิต
6.ช่วยทำให้เจริญอาหาร
7.ช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอล ช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือด ควบคุมน้ำหนักได้ เพราะถั่วเขียวมีส่วนประกอบของไขมันที่ต่ำมาก ไม่มีคอเลสเตอรอล และยังอุดมไปด้วยโปรตีนกับเส้นใยอาหาร
8.ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
9.ถั่วเขียวมีฤทธิ์เย็น ออกฤทธิ์ตามเส้นลมปราณของหัวใจและม้าม
10.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยธาตุเหล็กซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกาย
11.ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเบาหวานได้
12.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังช่วยป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย
13.ช่วยขับร้อน แก้อาการร้อนใน และช่วยแก้พิษในฤดูร้อน
14.ถั่วเขียวมีประโยชน์ต่อลำคอและผิวหนัง และยังช่วยแก้อาการกระหายน้ำได้อีกด้วย
15.เมล็ดถั่วเขียวนำมาต้มกับเกลือ ใช้อมเพื่อรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้
16.ช่วยถอนพิษในร่างกาย
17.ช่วยกระตุ้นประสาท ถั่วเขียวเป็นแหล่งสำคัญของธาตุโบรอน (Boron) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกระแสประสาทของสมอง ทำให้ช่วยสมองทำงานได้ฉับไวมากขึ้น และยังอุดมไปด้วยฟอสฟอสรัส ที่ช่วยบำรุงเซลล์ประสาทและสมอง[4]
18.ช่วยบำรุงสายตา ทำให้ตาสว่าง และรักษาตาอักเสบ (เปลือกสีเขียว)[9] ช่วยแก้อาการตาพร่า ตาอักเสบ ด้วยการรับประทานถั่วเขียวต้มครั้งละ 15-20 กรัมเป็นประจำ
19.ช่วยรักษาคางทูมที่เป็นใหม่ๆ ด้วยการต้มถั่วเขียว 70 กรัมจนใกล้สุก แล้วใส่แกนกะหล่ำปลีลงไป / หัวต้มอีก 15 นาที กินเฉพาะน้ำวันละ 2 ครั้ง
20.ช่วยแก้อาการอาเจียนจากการดื่มเหล้า ด้วยการดื่มน้ำถั่วเขียวพอประมาณ
21.ช่วยขับของเหลวในร่างกาย
22.ในถั่วเขียวอุดมไปด้วยเส้นใยที่สามารถละลายน้ำได้ดี จึงช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ
23.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินบี2 ที่ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอกได้
24.ถั่วเขียวมีเส้นใยอาหารสูงจึงช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และยังส่งผลดีต่อระบบลำไส้โดยรวมอีกด้วย
25.เมล็ดถั่วเขียวนำมาต้มแล้วกินใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
26.ช่วยแก้ลำไส้อักเสบ
27.ช่วยบำรุงตับ
28.ช่วยแก้อาการไตอักเสบ
29.ช่วยแก้ผดผื่นคัน
30.ช่วยลดบวม
31.ช่วยรักษาโรคข้อต่างๆ แก้ขัดข้อ
32.ช่วยรักษาฝี ด้วยการใช้ถั่วเขียวดิบหรือต้มสุก นำมาใช้ตำแล้วพอกเป็นยารักษาภายนอกช่วยในการบ่มหนองให้ฝีกสุก และยังใช้รักษาอาการอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น แก้ท้องร่วง การคลอดบุตรยาก และโรคท้องมาน[8],[9]
33.นำมาใช้ตำพอกแผล
34.ช่วยแก้พิษจากพืช พิษจากสารหนู และพิษอื่นๆ
35.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินบี1 ที่ช่วยในการป้องกันโรคเหน็บชาได้เป็นอย่างดี
36.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยโฟเลทสูง ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารกได้

ขอบคุณข้อมูลจาก : นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะเฟือง

image

วันนี้เรานำสรรพคุณของมะเฟืองและประโยชน์ของมะเฟืองมาฝากทุกคนที่ชอบทานผลไม้กันอีกแล้วค่ะ สำหรับมะเฟืองนั้นจัดเป็นผลไม้ไทยที่มีรสชาติไม่ต่างจาก ลูกพลัม สับปะรด มะนาว มากนัก แม้ว่ารสชาติจะไม่แตกต่างกันมากนักแต่ ประโยชน์ของมะเฟือง ก็มีไปไม่แพ้ ลูกพลัม สับปะรด มะนาว เช่นเดียวกันค่ะ

โดยเมื่อเวลาหั่นผลมะเฟืองจะมีลักษณะเป็นรูปดาวดูสวยงามดีค่ะ แต่วันนี้จะไม่ได้พูดถึงความสวยงามของมะเฟืองหรอกนะแต่จะพูดถึง ประโยชน์ของมะเฟือง และ สรรพคุณของมะเฟือง ต่างหากค่ะ นั้นมารอช้ามาดูสรรพคุณของมะเฟืองและประโยชน์ของมะเฟืองกันเลยค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะเฟือง

นักโภชนาศาสตร์ได้วิเคราะห์คุณค่าทางอาหารของมะเฟืองแล้วพบว่า อุดมไปด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซีน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและพลังงานในปริมาณไม่น้อยเลย

ดังนั้นคุณค่าของมะเฟืองตามสารอาหารที่พบแล้วก็จะเห็นว่า มะเฟืองหนึ่งผลนั้นสามารถที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงควบคุมการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ ควบคุมกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่าย กล่อมประสาทช่วยระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นในผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ

ส่วนน้ำมะเฟืองคั้นนั้น ตำรายาโบราณกล่าวว่า มีสรรพคุณในการแก้ร้อนใน ดับกระหาย ลดความร้อนภายในร่างกายถอนพิษก็ได้ เป็นยาขับเสมหะ ป้องกันโรคโลหิตจาง โรคเลือดออกตามไรฟัน รวมทั้งยังช่วยขับปัสสาวะ และบรรเทาอาการนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้อีกด้วย

เครดิต: ID Line @balance9 (มี@ด้วยนะ)

ความเหมือนที่แตกต่าง……เม็ดบัวไทย-จีน

image

การเลือกกิน เม็ดบัวส่วนใหญ่ที่เราเห็นทั่วไป จะเป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนซึ่งจะมีเมล็ดขนาดใหญ่ ผ่านการกะเทาะเปลือก ดึงดีบัว(ต้นอ่อนที่ฝังอยู่กลางเมล็ดมีสีเขียวเข้ม)ออก และอบแห้ง

ส่วนเม็ดบัวไทยนั้นไม่ค่อยพบวางจำหน่ายในท้องตลาด เนื่องจากมีเมล็ดเล็ก จึงไม่เป็นที่นิยม แต่จากผลการวิจัยของ อาจารย์ปริญดา ที่ศึกษาเปรียบเทียบปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์ในเม็ดบัวไทยและจีนพบว่า เม็ดบัวไทยมีปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์สูงกว่าเม็ดบัวจีน 5-6 เท่า

อาจารย์ปริญดาจึงแนะนำว่า ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับสารแอนติออกซิแดนต์ปริมาณสูงควรเลือกกินเม็ดบัวไทยดีกว่า โดยเฉพาะเม็ดบัวไทยสด

วิธีกินคือ

ลอกเปลือกออกจากเมล็ด โดยไม่ดึงเยื่อหุ้มเมล็ดและดีบัวออก กินสดๆทั้งเมล็ด จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านมะเร็งซึ่งอยู่บริเวณเยื่อหุ้มเมล็ด และดีบัวในปริมาณสูง

ส่วนชนิดอบแห้งนั้น เรานำมาทำอาหารคาวหวานได้หลากหลาย ที่คุ้นเคยกันดี คือ น้ำอาร์ซี เม็ดบัวต้มน้ำตาลทรายแดง ผสมในเต้าฮวย หรือเต้าทึง ข้าวอบใบบัว เป็นต้น

ส่วนเคล็ดลับการเลือกซื้อให้ได้ของสดใหม่ คุณภาพดีมีดังนี้ค่ะ

ชนิดอบแห้ง
1. ควรเลือกเมล็ดที่มีสีเหลืองนวล ถ้ามีสีเหลืองเข้ม แสดงว่าเป็นเม็ดบัวเก่าที่เก็บไว้นานแล้ว เมล็ดไม่แตกหัก และไม่มีฝุ่นละอองปนเปื้อน
2. ขั้วเมล็ดไม่ดำคล้ำ เพราะจะเป็นเมล็ดที่เก็บไว้นานแล้ว
3. ไม่มีกลิ่นสาบหรือเหม็นหื่น

ชนิดฝักสด
เลือกฝักที่มีเมล็ดขนาดใหญ่ สีเขียวอ่อน จะได้เม็ดบัวที่มีเนื้อกรอบ หวานกำลังดี คราวนี้ถ้าเจอฝักบัวสดในตลาดอย่าลืมซื้อติดไม้ติดมือมาคนละสองสามกำนะคะ

ข้อสำคัญ
พยายามเลือกฝักที่แก่ จะได้เม็ดบัวที่โตเต็มที่
ทานวันละไม่น้อยกว่า 20 เม็ด จะทานมากกว่าก็ไม่ห้าม
เพราะเม็ดบัวปกติเป็นของทานเล่นพื้นบ้านเราอยู่แล้ว
ทีนี้คุณก็ได้อาหารบำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แบบธรรมชาติราคาแสนจะคุ้มกับประโยชน์ทีเดียวลองดูนะคะ ปกติมัดละ ๒๐ นาทแต่วันนี้ฟลุคป้าขายให้เหมาให้หมด ๖ มัด ๓๐ บาทค่ะ รู้ประโยชน์แล้วกินกันนะค่ะ

โดย ทางแพทย์สายพุทธ
ขอขอบคุณข้อมูลจากชีวจิต

ลูกเดือย บำรุงกระดูก-สายตารักษาโรคเบาหวาน

image

ลูกเดือยจัดเป็นพืชตระกูลข้าว ในปัจจุบันนิยมนำมาเป็นส่วนผสมหนึ่งของน้ำ RC น้ำเพื่อสุขภาพคนที่ชอบกินอาหารเจ คงรู้จักลูกเดือยดี ในตำรายาจีนกล่าวว่า ลูกเดือย รสชุ่มจืด เย็น แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงม้าม ปอด กระเพาะอาหาร ม้าม ขับปัสสาวะ รวมทั้งบำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอด รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย แก้ไข้ เหน็บชา ชักกระตุก สตรีตกขาวมากกว่าปกติ
ในตำรายาจีนจึงมักใช้ลูกเดือยบดผสมข้าว ต้มเป็นข้าวต้มกินทุกวันเพื่อบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บวมน้ำ ปวดข้อไขข้ออักเสบ ปวดเข่าเรื้อรัง บำรุงม้าม ตับ ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้ทางเดินหายใจ เหน็บชา แก้ชักกระตุก ปอดอ่อนแอไอเป็นเลือด แก้อาการ ตกขาวผิดปกติ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงเส้นผมและผิวหนัง แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดการเกิดกระ รักษาโรคหูด นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการรับประทานลูกเดือยต้มน้ำตาลสามารถที่จะแก้ร้อนในได้
เมื่อพิจารณาส่วนประกอบทางเคมีของลูกเดือยมี คาร์โบไฮเดรต ๕๘-๖๒ % – ไขมัน ๕ % – โปรตีน ๑๒ % – น้ำ ๑๐.๘ % – ใยอาหาร ๘.๔ %
นอกจากนี้ในลูกเดือยยังมีวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง เป็นต้น ดังนั้นลูกเดือยเป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง จึงมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง และการที่มีวิตามินบีหนึ่งสูงจึงช่วยแก้เหน็บชาตามความเชื่อของชาวจีน
มีข้อมูลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ว่าสาร coxenolide ในเมล็ดเดือยมีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอก และพบว่าสารสกัดด้วยน้ำหรือตัวทำละลายอินทรีย์ จากรากหรือเมล็ดเดือยมีฤทธิ์ทำให้การหมุนเวียนของเลือดที่ผิวหนังดีขึ้น ทำให้เส้นผมเจริญดีขึ้น ลูกเดือยยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรัง ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยังยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก
สำหรับน้ำลูกเดือยให้ฟอสฟอรัสสูงมากช่วยบำรุงกระดูก รองลงมามีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงธาตุ เป็นอาหารสำหรับคนไข้พักฟื้น ช่วยเจริญอาหาร ลูกเดือย มีกรดอะมิโนที่กระตุ้นให้เซลล์สมองหลั่งสารที่ทำให้นอนหลับ สมองที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา จะได้หยุดพักชั่วคราว จึงแนะนำให้ผู้ที่นอนไม่หลับ ดื่มน้ำอุ่นผสมลูกเดือยจะช่วยให้นอนหลับได้
คุณค่าลูกเดือยยังมีอีกมากเพราะลูกเดือยมีกรดอะมิโนทุกชนิดที่สูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ยกเว้นเมทไธโอนีนและไลซีน เช่น มีกรดกลูตามิกในปริมาณมากตามด้วยลูซีน, อลานีน,โปรลีน วาลีน, ฟินิลอลานีน, ไอโซลูซีน และอาร์จีนีนลดหลั่นลงมา แถมลูกเดือยยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่น กรดโอเลอิค และกรดลิโนเลอิก รวมแล้วถึง ๘๔ % และเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว คือ ปาล์มิติ และสเตียริก เพียง ๑๖ % เท่านั้น
ลูกเดือยเป็นอาหารที่มีคุณภาพคับเมล็ดจริงๆ เพราะให้ทั้งพลังงาน ไขมัน แร่ธาตุ และกรดที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างยอดเยี่ยม รู้อย่างนี้แล้วบรรดา ส. (สูงวัย) ทั้งหลายรีบหามากินกันนะครับ
วิธีทำน้ำลูกเดือย นำลูกเดือยดิบมาประมาณ ๔ ถ้วยตวง ล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อเติมน้ำประมาณ ๑๐ ถ้วยตวง ตั้งไฟเคี่ยวจนลูกเดือยสุกเปื่อย ใส่น้ำตาลทราย ๒ ถ้วยตวง เกลือป่นเสริมไอโอดีน ๑ ช้อนชา พักไว้ให้เย็น แล้วใส่ในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด ก็จะได้น้ำลูกเดือยกินเพื่อสุขภาพ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก จำรัส เพชรนิล
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ประโยชน์ของลูกเดือย

ลูกเดือยมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีปริมาณโปรตีน 13.84% คาร์โบไฮเดรต 70.65% ใยอาหาร 0.23% ไขมัน 5.03% แร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะฟอสฟอรัสมีอยู่ในปริมาณสูงมากเมื่อเทียบกับธัญพืชชนิดอื่นๆ ซึ่งช่วยบำรุงกระดูก ฟัน เหมาะสำหรับผู้มีภาวะกระดูกพรุน วัยทอง เป็นอย่างมาก รวมทั้งมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 โดยเฉพาะวิมามินบี 1 มีในปริมาณมาก (มีมากกว่าข้าวกล้อง) ซึ่งช่วยแก้โรคเหน็บชาด้วย

ลูกเดือยมีโปรตีนสูงเทียบเท่าโปรตีนที่ได้จากข้าวโอ๊ต มีกรดอะมิโนทุกชนิดในลูกเดือยสูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก และกรดอะมิโน เป็นตัวสำคัญที่ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น เพราะกรดอะมิโนจะไปกระตุ้นให้เซลล์สมองหลั่งสารที่ทำให้นอนหลับ สมองก็จะพักการทำงานชั่วคราว ยิ่งกว่านั้นลูกเดือยยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่นกรดโอเลอิค

จากงานวิจัยพบว่า ลุกเดือย-ธัญพืชมหัศจรรย์ชนิดนี้ มีสารโคอิกซีโนไลด์ (Coixenolide) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ช่วยย่อยอาหาร ช่วยลดน้ำตาลและไขมันในเลือด ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ป้องกันหวัด บำรุงไต ลดความดันเลือดได้อีกด้วย

เคล็ดลับการหุงลูกเดือยให้อร่อย

หุงลูกเดือยผสมกับข้าวกล้อง มีวิธีทำดังนี้

1. แช่ลูกเดือย (เลือกพันธุ์ตามชอบ) ในน้ำทิ้งไว้ 6 ชั่วโมงถึง 1 คืน เพื่อให้เมล็ดดูดซับน้ำไว้จนอิ่มตัว (ถ้าไม่แช่น้ำเวลาต้มเมล็ดจะสุกยากหรือแข็งเป็นไต)

2. เทน้ำที่แช่ทิ้ง เติมน้ำสะอาดลงไป นำไปต้มจนลูกเดือยสุก โดยสังเกตว่าเมล็ดจะใส หรือตักเมล็ดขึ้นมาบี้ดู เนื้อจะนิ่ม

3. หากต้องการลดระยะเวลาในการต้ม สามารถใส่เบกกิ้งโซดาเล็กน้อยลงไปในน้ำต้ม จะช่วยทำให้เมล็ดสุกเร็วขึ้น

4. ปิดไฟ ใช้กระชอนตักเมล็ดขึ้น แล้วแช่ลงในน้ำธรรมดาหรือน้ำเย็น เพื่อให้เมล็ดกระจายตัว ไม่เกาะกันเป็นก้อน จากนั้นยกกระชอนขึ้น สะเด็ดน้ำ ตักลูกเดือยใส่ถุงพลาสติคในปริมาณที่จะกินแต่ละวัน มัดปากถุงให้แน่น แล้วนำไปแช่ในตู้เย็นช่องแช่แข็ง

5. เมื่อจะหุงข้าว นำลูกเดือยออกจากตู้เย็น หลังซาวข้าวกล้องเรียบร้อยแล้ว ใส่ลูกเดือยแช่แข็งลงไป ปิดฝาหม้อ กดปุ่มหุงข้าวได้ทันที ลูกเดือยจะกระจายตัวผสมรวมกับข้าวกล้อง และไม่ทำให้ข้าวกล้องแฉะ

ซุปลูกเดือย

ส่วนผสมซุปลูกเดือย

ลูกเดือย 1 ถ้วย

อกไก่ 1 ชิ้น

แครอทสับ 1/2 ถ้วย

หอมหัวใหญ่สับ 3 ช้อนโต๊ะ

เห็ดหอมหั่นบาง 1/4 ถ้วย

โรสแมรี่ 1/2 ช้อนชา

นมสด 1/2 ถ้วย

พริกไทย 1 ช้อนชา

เกลือ 1 ช้อนชา

น้ำตาล 1 ช้อนชา

พาเมซานชีสนิดหน่อย

วิธีทำซุปลูกเดือย

1. ต้มลูกเดือยให้สุกก่อน นำอกไก่มาหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า

2. นำหม้อตั้งน้ำให้ร้อน ใส่อกไก่ลงไป พอเดือดก็ใส่ส่วนผสมลูกเดือยที่เราต้มแล้ว ใส่แครอทสับ ใส่หอมหัวใหญ่สับ ใส่เห็ดหอมหั่นบาง ใส่นมสด แล้วต้มให้สุก

3. พอสุกก็ใส่ โรสแมรี่ พริกไทย เกลือ น้ำตาล ชิมรสอีกครั้ง แล้วตักใส่ถ้วยโรยหน้าด้วยพาแมซานชีส ก็พร้อมเสิร์ฟ

หากไม่ชอบทานเนื้อไก่ สามารถเปลี่ยนเป็น หอยนางรม หอยเชลล์ ก็ได้ หากชอบรสจัดก็เติมเกลือและน้ำตาลเพิ่มได้ตามชอบ

กินลูกเดือยสลับกับกินธัญพืชชนิดอื่นๆ รับรองว่า ความฉลาด หุ่นดี อ่อนเยาว์ และอายุยืน

รับมือโรคหอบหืดด้วยพริกหยวก

image

โรคหอบหืดเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศเย็น ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำคอ โพรงจมูก และระบบทางเดินหายใจ สามารถรุกล้ำเข้าสู่หลอดลมและลงปอดได้ง่าย และทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น แต่อาการเหล่านี้สามารถรับมือได้ด้วยการทานพริกหยวก

พริกหยวกเป็นพืชประจำฤดูหนาวชนิดหนึ่ง ในพริกหยวกนั้นอุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยในการต่อต้าน อนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหอบหืด โดยวิตามินซีในพริกหยวกจะเข้าไปทำหน้าที่ จับตัวอนุมูลอิสระเหล่านั้นเพื่อให้มีค่าเป็นกลาง และทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้ดีขึ้น

5 อาหารดีๆ บำรุงไต

image

○○ 5 อาหารดีๆ บำรุงไต ○○

การรับประทานอาหารหลายๆอย่างที่มากเกินความจำเป็น จะทำให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารบางชนิดเกินกว่าความต้องการและอาจทำให้ “ไต” ต้องทำงานหนักและเสื่อมเร็วได้
         แต่สำหรับอาหารบางชนิดเมื่อรับประทานแล้วมีส่วนช่วยบำรุงไตให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เช่น กระเทียมสด ,หอมหัวใหญ่,กะหล่ำปลี ,ปลาสด และแครนเบอร์รี่
        1. กระเทียมสด  จะมีสารอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดี มีสรรพคุณในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา รวมทั้งป้องการโรคหัวใจโรคหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ที่สำคัญยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไต และการอักเสบต่างๆ
        2. หอมหัวใหญ่  เป็นอาหารบำรุงสุขภาพสำหรับคนที่มีระดับครีเอตินิน ในระดับสูง หรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคไต ซึ่งในหอมหัวใหญ่จะมีสารประกอบธรรมชาติอย่างโพรสตาแกลนติน ที่มีคุณสมบัติในการลดความหนืดของเลือด และช่วยลดความดันของเลือด ซึ่งจะทำให้ลดอาการโรคไตลงได้
        3. กะหล่ำปลี  จะมีวิตามิน C กรดฟอลิก เส้นใย และยังมีโพแทสเซียมต่ำ ซึ่งสามารถขจัดสารพิษบางอย่างออกจากร่างกายได้ ทำให้ลดภาระการทำงานของไตได้ และป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทั้ง 2 โรค สามารถเชื่อมโยงการเกิดโรคไตได้
        4. ปลาสด เช่น แซลมอน เทราต์ และซาร์ดีน  อุดมไปด้วยโปรตีนและโอเมก้า 3 ที่คนไม่สามารถผลิตเองได้ ซึ่งการกินปลาสดเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิต และคอเลสเตอรอลสูงได
        5. แครนเบอร์รี่   ผลไม้ลูกเล็กสีแดงที่จะช่วยเพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ และลดความเสี่ยงในการเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ด้วย

     ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า

มนุษย์ ‘อาหารกล่องโฟม’ คนกินเสี่ยงมะเร็ง 6 เท่า

image

คุณรู้หรือไม่ ผู้ที่ทานอาหารตามสั่งที่บรรจุกล่องโฟม มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า
          (star) “กล่องโฟม” ภาชนะบรรจุอาหารที่นิยมใช้ตามท้องตลาดทั่วไป มักมีสีขาวๆ น้ำหนักเบา และราคาถูก แต่คุณเชื่อไหมว่า สิ่งเหล่านี้ ทำมาจากของเสียเหลือทิ้งสีดำๆ จากกระบวนการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ที่ผ่านกระบวนการผลิตให้ดูน่ากินน่าใช้ แต่บรรจุภัณฑ์ดังกล่าว ประกอบด้วยสารสไตรีน (Styrene) ซึ่งผู้ที่ได้รับสารดังกล่าวในปริมาณที่ต่อเนื่อง จะทำให้สมองมึนงง และเสื่อมง่าย หงุดหงิดง่าย ในผู้หญิง จะมีผลทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ มะเร็งเต้านม ส่วนผู้ชาย จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก และทั้งชายหญิง จะเสี่ยงต่อมะเร็งตับอีกด้วย
          (star) บรรจุภัณฑ์จากโฟมที่มีรูปทรงน่าสนใจ ราคาไม่แพง
          นอกจากนี้ สารสไตรีน ยังมีผลต่อทารกในครรภ์ สำหรับแม่ที่รับประทานอาหารบรรจุในกล่องโฟม ลูกมีโอกาสสมองเสื่อมเป็นเอ๋อ เสี่ยงพิการ ซึ่งถ้ารับประทานอาหารกล่องโฟมทุกวัน วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่าเลยทีเดียว
          ส่วนปัจจัยที่ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับสารสไตรีนในกล่องโฟม ความร้อนจัด หรือเย็นจัด จะเป็นปัจจัยที่เร่งให้สารสไตรีน สะสมในอาหารได้โดยง่าย และยิ่งถ้าอาหารชนิดนั้นมีส่วนผสมวของน้ำมัน น้ำส้มสายชู แล้ว จะยิ่งทำให้อาหารดูดสารสไตรีนจากกล่องโฟมได้มากกว่าปกติอีกด้วย
          (star) ผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษชานอ้อย
          ทั้งนี้ เมื่อเรามองเห็นถึงอันตรายจากการบริโภคอาหารจากกล่องโฟมแล้ว เชื่อว่า หลายคนอาจตระหนักถึงพิษภัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่หากจำเป็นต้องรับประทานอาหารกล่อง ลองเลือกร้านที่ใช้กล่องเยื่อกระดาษชานอ้อย ซึ่งมีความปลอดภัยสูง หรือจะยอมเสียเวลาสั่งใส่จาน แล้วรับประทานไปเลยปลอดภัยกว่าเยอะ

          ที่มา: เว็บไซต์แนวหน้า

แอปเปิ้ลแต่ละสีมีประโยชน์ต่างกัน

image

แอปเปิ้ล ผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน

หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก ประโยชน์ของแอปเปิ้ลที่คุณควรรู้มีดังต่อไปนี้

แอปเปิ้ลที่เห็นตามท้องตลาด มีทั้งเปลือกสีแดง สีชมพู สีเขียว และสีเหลือง แตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ แต่เนื้อข้างในก็เหมือนกันคือ เป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล ทราบไหมว่า เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล จะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม

นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส
แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวก็จะลดลงไปด้วย มีความเชื่อของฝรั่งกล่าวไว้ว่า การรับประทานแอปเปิ้ลวันละผล ช่วยให้ห่างไกลหมอได้ โดยแอปเปิ้ลแต่ละสีก็มีประโยชน์ต่างกันดังนี้

แอปเปิ้ลสีแดง

ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย

แอปเปิ้ลสีชมพู

คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

แอปเปิ้ลสีเขียว

มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี

แอปเปิ้ลสีเหลือง
มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

ต่อจากนี้ไปก่อนซื้อแอปเปิ้ลคงต้องพิจารณาก่อนว่าช่วงนั้นร่างกายต้องการอะไร อยากผิวสวยต้องแอปเปิ้ลแดงกับเขียว อยากฟันแข็งแรงต้องแอปเปิ้ลชมพู แต่ถ้าอยากลดหุ่นสีไหนก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้นแหละค่ะ มากินแอปเปิ้ลกันดีกว่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

จะทานไข่ไก่หรือไข่เป็ดดี ?

image

วันนี้คุณรับประทานไข่หรือยัง หรือ วันนี้คุณรับประทานไข่ไก่หรือไข่เป็ด ชักจะสงสัยขึ้นมาแล้วว่า ไข่ไก่หรือไข่เป็ด อะไรดีกว่ากัน ด้วยเหตุนี้เองจึงอยากจะมาชี้แจงเรื่องนี้ให้ทราบกัน

ไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีความสำคัญมากและรับประทานกันแพร่หลายทั่วๆไป ประชาชนทั่วๆไปมักจะพูดกันและรู้จักไข่ในลักษณะอาหารเสริม บำรุงกำลัง ผู้ที่ไม่มีแรง อ่อนเพลีย หรือผู้ที่เจ็บป่วย มักถูกญาติมิตร เพื่อนฝูง แนะนำให้รับประทานไข่บ้าง อาหารไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์และสะดวกในการประกอบอาหารรับประทาน

อย่างไรก็ตามจริงๆแล้วเรื่องราวของไข่เกี่ยวกับคุณประโยชน์จริงๆนั้นยังรู้จักกันน้อย บางครั้งมักจะมีผู้ตั้งคำถามอยู่เสมอว่าไข่ไก่หรือไข่เป็ด ชนิดไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน

ความจริงแล้ว โปรตีนจากไข่ขาวเป็นโปรตีนชั้นดี ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้แทนเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพของร่างกายได้ทั้งหมด นับว่าดีกว่าเนื้อสัตว์เสียอีก ทางการแพทย์บอกว่า ไข่ขาวสามารถเปลี่ยนเป็นโปรตีนของร่างกายได้เต็ม 100 % ประชาชนของประเทศส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะสนใจมากนัก เราควรจะหันมาให้ความสนใจกับการรับประทานไข่ให้มากขึ้น จะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ดก็ได้ เพราะล้วนแต่ให้ประโชน์ทั้งนั้น

ในต่างประเทศมักจะไม่ค่อยรับประทานไข่เป็ดกัน เพราะหาได้ลำบากกว่าไข่ไก่ จะสร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ดแบบเลี้ยงไก่ก็ทำไม่สะดวกไข่ไก่หรือไข่เป็ดชนิดใดมีคุณค่ามากกว่ากัน ดีกว่ากัน ข้อมูลเป็นตัวเลขเปรียบเทียบให้เห็นดังนี้สำหรับไข่ไก่ 1 ฟอง และ ไข่เป็ด 1 ฟอง

สารอาหาร ไข่ไก่ ไข่เป็ด
พลังงาน ( แคลอรี ) 169 180
ไขมัน ( กรัม ) 11.9 12.6
คาร์โบไฮเดรต ( กรัม ) 1.7 4.1
โปรตีน ( กรัม ) 12.7 11.7
แคลเซี่ยม ( มิลลิกรัม ) 76.0 71.0
เหล็ก ( มิลลิกรัม ) 3.5 2.8
วิตามิน บี 1 ( มิลลิกรัม ) 0.08 0.27
วิตามิน บี 2 (มิลลิกรัม ) 0.48 0.56
วิตามิน บี 5 (มิลลิกรัม ) 0.1 0.1

คุณค่าของไข่ไก่และไข่เป็ด มีส่วนแตกต่างกันบ้าง เช่น ไข่ไก่หนือกว่าไข่เป็ด ในด้านโปรตีน แคลเซี่ยม เหล็ก แต่ไข่เป็ดกลับเหนือว่าในด้านพลังงาน ไขมัน วิตามิน บี 1 วิตามิน บี 2

หากเรารับประทานไข่ไก่หรือไข่เป็ด 1 ฟอง คิดปริมาณน้ำหนัก 50 กรัม เมื่อเทียบความต้อการสารอาหารที่ควรได้รับสำหรับประชาชนใน 1 วัน ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ในวันหนึ่งควรรับประทานไข่เพียงวันละ 1 ฟอง ก็จะได้สารอาหารที่จำเป็นมากพอสมควรแล้วค่ะ

(ขอขอบคุณข้อมูลจาก scimath)

เหลือเชื่อ! การที่เรากินกล้วยหนึ่งลูกก่อนกินข้าว มันเป็นอะไรที่คุณคาดไม่ถึง

มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุชัดเจนว่า…….
การรับประทานกล้วยแค่ 2 ลูกจะช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกายได้เทียบเท่ากับการออกกำลังกายถึง 90 นาทีเลยทีเดียว กล้วยนอกเหนือจากช่วยเพิ่มพลังงานให้ អានត-อ่านต่อ

เข้าใจตรงกันโภชนาการบำบัดโรค

image

ขอให้อ่านติ๊ดนึง… ความรู้ใหม่..เข้าใจตรงกันโภชนาการบำบัดโรค

1.ดื่มน้ำร้อนปลอดทุกโรค

2.กินไข่ลวกวันละสองฟอง ใส่พริกไทยดำตำเองหนึ่งช้อนชาจะห่างไกลจากอัลไซเมอร์ไม่ต้องไปหาหมอ

3.หยุดกินน้ำตาลทราย เพราะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคต่างๆ

4.กินทุเรียน ช่วยรักษาโรคมะเร็ง และแก่ช้า

5.กินแตงโม ช่วยแก้เลือดอุดตัน ลิ่มเลือด และช่วยบำรุงเลือด ถ้าเป็นผู้ชาย จะทำให้สมถรรพภาพทางเพศแข็งแรง

6.สตรีกินสับปะรด ช่วยกระช้บช่องคลอด

7.กินกล้วยไข่ ช่วยบำรุง ตับ ไต ผิว ตา กระดูก (เหมาะสำหรับคนทำงานหน้าคอมส์) ทำให้หน้าอกโตด้วย

8.กล้วยน้ำว้านำไปเผาทั้งเปลือก ช่วยรักษา ปวดหัว ตัวร้อน และเบาหวาน

9.กล้วยหอม เด็กถ้ากินช่วยให้ความจำดี และสตรีวัยทองช่วยปรับฮอร์โมนให้กินกับน้ำมะพร้าวอ่อน จะดีมาก ช่วยรักษาโรคฮันจิสัน (สตรีถ้ากินมากจะเซ็กส์จัดนะ)

10.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ใช้กินและนวดหน้า นวดร่างกายทำให้ดูอ่อนกว่าวัย รักษา ฝ้า กระ ดีมาก เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นสารตั้งต้นของเครื่องสำอางค์ทุกชนิด

11.กินน้ำมันหมูดีที่สุดเพราะซ่อม
สร้างเนื้อเยื่อได้ ที่เหลือขับทิ้งได้
ไม่เหมือนน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธี
มีสารเคมีตกค้างมากมายมีอันตราย ต่อสุขภาพระยะยาวแน่นอน

12.กินหอมแดง,หอมใหญ่,กระเทียม และตามด้วยมะนาวฝานบางๆทั้งเปลือก2-3ชิ้นเพื่อดับกลิ่นเพื่อลดไขมันตัวร้ายในหลอดเลือดดีกว่ากินยาลดไขมันซึ่งมีผลข้างเคียงที่อันตรายมาก

ส่งต่อเป็นวิทยาทาน…นะพี่น้อง
ใครคือเพื่อน18คนที่คุณจะไม่สามารถลืมได้เลยในชีวิต? ส่งให้แค่18คนนั้น แล้วคอยดูว่าคุณเองได้กลับมาเท่าไหร่. เริ่มส่งได้! แค่18คนนะ! วันนี้เป็นวันเพื่อนนานาชาติ ส่งให้เพื่อนคนพิเศษของคุณ (รวมถึงส่งกลับมาให้ฉันด้วย ถ้าฉัน  คุณเป็นคนที่คนรักมากๆเลยนะ ถ้าคุณได้รับกลับมาอย่างน้อย5คน ลองดูเลย

หนูทอดเมือง បាត់ដំបង พระตะบอง

เดินทางออกจากเมืองพระตะบองมุ่งหน้าสู่พนมเปญ เพียงไม่กี่กิโลเมตร จะพบเห็นเพิงร้านค้าริมทางเขาขายหนูนาทอด ราคาตัวละ 30 บาท

แวะกินขนมจีนเมืองเขมร …

เดินทางออกจากปอยเปต ผ่านเมืองพระตะบอง เข้าสู่จังหวัด ពោធិសាត់โปซัต (Pur Sat) คนไทยเรียก โพธิ์สัต จะมีร้านขนมจีนอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 5 เป็นขนมจีนแกงกะหรี่ ราคาจานละ 60 บาท

บัญแชว (បាញ់ឆែវ) แนะนำอาหารกัมพูชา

បាញ់ឆែវ

กลับบ้านปิดเทอมนี้ต้องได้กินแน่นอน
แม่ผมทำอร่อยมากๆๆๆๆ
ใครอยากชิม วันที่สามเมสานี้ไปกับผมเด้อ

Slow Food 3 เคล็ดลับอาหารและการรับประทานสำหรับคนอยากผอม | Cambo-Zone

อาหารประเภทไหนถึงจะเรียกว่า “สโลว์ฟู้ด”แตกต่างจาก “ฟาสฟู้ด”อย่างไร และที่สำคัญช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ หาคำตอบได้ที่นี่

1 ดูดซึมอย่างช้าๆ

ถ้าบอกว่า น้ำตาลดูดซึมเร็วกว่า ข้าว (น้ำตาลมีโมเลกุลขนาดเล็กกว่าแป้ง) คุณควรเลือกข้าวมากกว่าน้ำตาล เพราะการที่ดูดซึมเร็วหมายความว่าร่างกายสะสมไขมันเร็วอีกด้วย (กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่สะสมไขมันไลโปโปรตีนไลเปส โดยผ่านฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น) หมายความว่า ถ้าร่างกายดูดซึมเร็ว ก็จะทำให้สะสมไขมันมากขึ้น น้ำตาลจะถูกดูดซึมอย่างเร็ว จึงจะทำให้อ้วนได้มากกว่าแป้ง และมากกว่าข้าวซ้อมมือ(เนื่องจากมีใยอาหาร จึงถูกดูดซึมอย่างช้า ๆ ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้รับประทานข้าวซ้อมมือในการลดน้ำหนักเป็นหลัก เพราะข้าวซ้อมมือถูกดูดซึมช้าที่สุดนั่นเอง

អានត-อ่านต่อ

แอปเปิ้ลแต่ละสีมีประโยชน์ต่างกัน

แอปเปิ้ล ผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน

หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก ประโยชน์ของแอปเปิ้ลที่คุณควรรู้มีดังต่อไปนี้

អានត-อ่านต่อ

Guava prevents cancer, Alzheimer’s, heart diseases, rheumatoid arthritis

guava prevents cancer

guava prevents cancer

I was wondering that time and again we were informed that an apple a day keeps the doctor away. After a while the same thing we started hearing about the benefits of banana. Now that I was wondering as to why Guava, the tropical fruit, with its fantastic flavor and health promoting qualities is called the “super fruit”. Guava comes out to be a dark horse as for as health benefits are concerned. Guava is rich sources of various vitamins, minerals and fibers. Various researches have proved that guava prevents cancer and heart diseases. It also prevents age-related diseases like cataract, Alzheimer’s and rheumatoid arthritis.

អានត-อ่านต่อ