เพราะงานยุ่ง หรือเพราะว่าไม่เคยเอาใจวางไว้ที่บ้าน

หนุ่มหนึ่งกลับบ้านหลังดื่มจนตัวเบา พอเข้าบ้าน เปิดไฟ ร้องเรียกเมีย ไร้เสียงขาน ก้มหน้าพบหนังสือขอหย่าบนตู้รองเท้า

image

หนุ่มงง ไม่นึกว่าเจ้าหล่อนจะเอาจริง ผัวเมียทะเลาะกันบ่อย อย่างมากหล่อนเพียงงอนไม่พูดด้วย หรือกลับบ้านแม่ไปสักพัก จากนั้นก็คืนมาเป็นปกติ ทว่าครั้งนี้ เรื่องไม่เล็กเสียแล้ว เมียบอกให้เขาไปงานประชุมผู้ปกครองของลูกสาว เขาบอกว่างานยุ่ง ไม่มีเวลา เมียว่ายุ่งอะไรทั้งวัน ไม่เคยใส่ใจฉันกับลูกเลย เราเลิกกันแล้วกัน

หนุ่มไม่คิดว่าจะมีปัญหา เขาถือว่าต้องเห็นงานสำคัญกว่าครอบครัว และที่ยุ่งวุ่นนั้นก็เพื่อบ้านนี้ไม่ใช่หรือ ตนไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ในนาทีนี้ บ้านว่างเปล่าเงียบเชียบไร้ลูกไร้เมียนี้มันช่างไม่เป็นบ้านเอาเสียเลย ความสำเร็จของเขา ถ้าไม่มีเมียร่วมปัน ก็ไร้ความหมาย

วันรุ่งขึ้นเขาไปเยี่ยมพ่อแม่ ทั้งสองงงมาก ถามว่าทำไมมีเวลากลับบ้าน คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ? ทะเลาะกับแม่อีหนูหรือ? คำถามเป็นชุดทำให้เขาละอาย เขาคงกลับบ้านน้อยเกินไปกระมัง? แต่พ่อแม่ตื่นเต้นยินดีกันมาก พ่อรีบออกไปจ่ายตลาด แม่อยู่บ้านนั่งคุยกับเขา หาขนมถั่วต้มให้กิน แต่ไม่ทันนั่ง เสียงโทรศัพท์ดัง เขาได้ยินเสียงพ่อดังลอดมาจากโทรศัพท์ว่า “ลืมบอกไป ชาเก๊กฮวยน้ำผึ้งที่ชงไว้ให้น่ะ อยู่บนธรณีหน้าต่าง เธอรีบดื่มซะ เดี๋ยวจะเย็น”

แม่วางหู ดื่มชาไปอึกเดียว โทรศัพท์ดังอีก พ่อนั่นแหละ “เราต้องจ่ายค่าน้ำแล้วใช่ไหม? ฉันลืมเอาบิลมา ช่วยบอกเลขบิลให้หน่อย จะแวะไปจ่าย” วางหูไม่ทันไร พ่อโทรฯ มาอีก เสียงดีใจทีเดียว “เธอชอบกินปลาสีนวลใช่ไหม เดี๋ยวซื้อไปให้นึ่งกิน”

ยี่สิบนาที พ่อโทรฯ 3 ครั้ง แม่ก็รับและคุยอย่างไม่รู้หน่าย เขาอดบ่นไม่ได้ว่า ทำไมพ่อจุกจิกขึ้นทุกที? ไม่เห็นมีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องโทรฯ กลับมาบอกไม่ได้หรือ?

แม่ยิ้มแล้วพูดว่า “เด็กโง่เอ๊ย เจ้าจะไปรู้ใจพ่อได้ไง? แกไม่ได้จุกจิก แต่แกวางหัวใจไว้ที่บ้าน มีที่ฝากฝังมีความห่วงหา จึงได้โทรฯ ครั้งแล้วครั้งเล่า ตัวพ่ออยู่นอกบ้าน แต่ใจอยู่ในบ้าน เรื่องในบ้านไม่มีใหญ่เล็ก ทุกอย่างล้วนห่วงใย เจ้าอย่าคิดว่าเอาเงินเข้าบ้านก็พอ บ้านไม่ใช่ที่ที่วางเงิน แต่เป็นที่ที่วางใจ มีแต่เอาใจวางไว้ที่บ้าน ความรักกับความสุขจึงจะอยู่ที่บ้าน เจ้าเข้าใจไหม?”

เขาเห็นสายตาลึกล้ำของแม่ เข้าใจในบัดดล คิดถึงตนเอง ไม่เคยโทรศัพท์กลับบ้าน แม้แต่เมียโทรฯ หาก็รีบตัดสาย คิดถึงที่ตัวเองไปงานไปกินกับหัวหน้ากับเพื่อนร่วมงานจนดึกดื่น ไฟที่บ้านก็สว่างคอยเขาจนดึกดื่น แต่เขาไม่เคยคิดถึงความเดียวดายของเธอ ลูกอายุหกขวบ ขอให้เขาพาเที่ยว แต่คำมั่นสัญญาของเขาไม่เคยเป็นจริง

เพราะงานยุ่ง หรือเพราะว่าไม่เคยเอาใจวางไว้ที่บ้านเล่า?

คืนนั้น เขาไปรับเมียกลับ เธอรีรอไม่ยอมกลับ เขารีบอธิบายว่า จะไม่เป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ก่อนนี้ฉันละเลยเธอ ละเลยบ้านของเรา ฉันคิดว่าเพียงแค่ส่งเงินให้ไม่ขาดก็จะรับประกันความสุขของเรา แต่ฉันเกือบทำความรักหล่นหาย ต่อไปนี้ ฉันจะเอาใจวางไว้ที่บ้าน เอาบ้านวางไว้ในใจ เธอกลับบ้านกับฉันเถอะนะ?

เมียไม่ตอบ ค่อยๆ เดินเข้าหาเขา น้ำตาร่วง

ถูกต้องแล้ว บ้านคือที่วางใจ คือที่รองรัก

ใช่แล้ว งานยุ่ง ไม่อาจเป็นเหตุผล ใจอยู่ รักอยู่ มีห่วงมีใย ความสุขจึงเกิดได้ ไม่เสื่อมสลาย

                             
ขอบคุณเจ้าของภาพและเรื่องราวที่แบ่งปันครับ

7 ข้อคิด ชีวิตมีความสุข

ค่อยๆอ่าน.  อ่านแล้วคิดอะไรได้เยอะ สุดยอดจริงๆครับ

image

󾀪1. ต้องอยู่ให้รอด – ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วตก อยู่อีก 1 วัน… เหลือน้อยลง 1 วัน
สุขอีก 1 วัน… กำไร 1 วัน

󾀪2. ต้องอยู่ให้มีความสุข-
ตำแหน่งสูง มิสู้มีรายได้สูง..
รายได้สูง มิสู้อายุยืน..
อายุยืน มิสู้มีความสุข..
ขอให้มีความสุข เพราะความสุขคือเงินสด..
นอกนั้นแค่กระดาษเช็ค

󾀪3. ต้องเป็นของเราเอง-
หมายถึงไม่ใช่เป็นของคนอื่น หรือยืมของคนอื่นมาใช้..
..ตำแหน่งเป็นของชั่วคราว
..เกียรติยศเดี๋ยวก็ผ่านไป
..สุขภาพเท่านั้นที่เป็นของเรา

󾀪4. ไม่เหมือนกัน-ย่อมไม่เหมือนกัน
ความรักที่พ่อแม่ให้กับลูกไม่มีขีดจำกัด..
แต่ความรักของลูกต่อพ่อแม่มีขีดจำกัด..
..ลูกๆ ป่วย พ่อแม่กลุ้มใจ
..พ่อแม่ป่วย แค่ลูกๆ มาเยี่ยมมาถามไถ่ ก็พอใจแล้ว
..ลูกๆ ใช้เงินพ่อแม่ สมเหตุสมผล
..พ่อแม่จะใช้เงินลูกๆ ต้องมีเหตุมีผล
..บ้านพ่อแม่ก็คือบ้านลูกๆ
..บ้านลูกๆ ไม่ใช่บ้านของพ่อกับแม่
ไม่เหมือนกันก็คือไม่เหมือนกัน..
พ่อแม่ที่เข้าใจ จะถือเอาความกตัญญูกตเวทีของลูกๆ เป็นจิตอาสาและความสุข ไม่หวังการตอบแทน..
หากหวังการตอบแทน นั่นคือหาทุกข์ใส่ตัว

󾀪5. อย่าคาดหวังใคร-
ยามป่วยอย่าคาดหวังใคร แม้แต่ลูกๆ..
“ไม่มีลูกกตัญญูหน้าเตียงคนป่วยเรื้อรังหรอก”..
คาดหวังคู่ชีวิตหรือ เขาเองก็เอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว
ที่คาดหวังได้ คือเงินอย่างเดียว ใช้เงินรักษาตัว

󾀪6. ระลึกแต่ความหลัง –
อาจจำเป็น เพราะจำเรื่องราวได้น้อยลง ลืมมากขึ้น ฉะนั้นสุขภาพคือทรัพย์..จำไว้
..แข็งแรงเข้าไว้ หาความสุขเสมอ..

󾀪7. อย่ากลัวความตาย-
เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ทุกคนเท่าเทียมกัน..
ต้องมีความพร้อมด้านจิตใจ พอยมบาลมาเรียก ก็พร้อมที่จะไปได้เลย ต้องไม่มีการอาลัยอาวรณ์..

󾀪ครบ 7 ข้อ󾀪
“ยามลำบาก มากอุปสรรค.. ต้องตั้งหลักให้มั่นคง
ยามได้ดี มียศสูงส่ง.. ต้องรู้ ปลง ปลดปล่อยวาง”..
ฉะนั้น อย่าท้อ เวลาผ่านไป เงื่อนไขเปลี่ยน สถานการณ์ก็มักผันแปร อาจดีขึ้นก็ได้..
เราไม่จำเป็นต้องรวยเพราะมีเงินมาก แต่เราอาจรวยความสุขได้เพราะการให้…..สาธุ สาธุ สาธุ.!!!!

ហឺ-เผ็ด ภาษาเขมรวันละคำ រៀនភាសាថៃ

image

ภาษาเขมร : ហឺ ឬ ហិរ
อ่านว่า : เฮอ รือ เฮะร์
แปลว่า : เผ็ด
អានថា : ផេត់
ภาษาอังกฤษ : Spicy

ตัวอย่าง : ឃើញបុកល្ហុងហឺៗអញ្ចឹងឃ្លានបាយដល់ហើយ។
อ่านว่า :
អានត-อ่านต่อ

ប្រទាល-ว่าน ภาษาเขมรวันละคำ រៀនភាសាថៃ

image

ภาษาเขมร : ប្រទាល
อ่านว่า : ปรอ เตียวล์
แปลว่า : ว่าน
អានថា : វ៉ាន

ตัวอย่าง : តើអ្នកស្គាល់ប្រទាលអ្វីខ្លះ?
อ่านว่า :
អានត-อ่านต่อ

10 ข้อความสั้นๆ ซึ่งๆ กับสายสัมพันธ์

image

1. คุณตาจากพวกเราไปแล้ว คุณแม่จัดการงานศพคุณตาด้วยอาการที่สงบนิ่ง หลังจากที่เผาศพคุณตาในตอนบ่าย ค่ำวันนั้น เมื่อแม่กลับมาถึงบ้าน ก็นั่งร้องไห้อยู่บนเตียง แม่พูดกับฉันว่า “ลูกรู้ไหม? แม่ไม่มีพ่ออีกแล้วนะ!” ฉันรีบเข้าไปกอดแม่ไว้ เหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างจุกอยู่ที่อก “แม่คะ แม่ยังมีหนูอยู่อีกคนค่ะ!”
2. ฉันไปทำงานต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ก่อนที่จะกลับมา พี่ๆส่งข่าวบอกกับฉันว่า แม่เป็นอัลไซเมอร์ จำใครไม่ได้เลย ตอนที่ฉันกลับมาถึงบ้าน ฉันเข้าไปหาแม่ที่เตียง และแม่ก็พูดประโยคหนึ่งที่ทำให้ฉันหัวเราะทั้งน้ำตา “ลูกอ้วนขึ้นหรือเปล่า?”
3. วันนั้นฉันนั่งรถไฟตู้นอนกลับต่างจังหวัด คนที่นั่งร่วมกับฉันเป็นคุณยายแก่ๆสองคน คนหนึ่งเป็นคนมาส่ง ต่างคนต่างจับมือคุยกันไม่หยุด เมื่อเสียงระฆังดังเตือนว่ารถจะออกจากชานชาลาแล้ว คุณยายคนหนึ่งก็ลุกขึ้นหมายจะเดินลงรถไป แล้วก็หันกลับมาพูดกับคุณยายอีกคนหนึ่งว่า “พี่คะ ปีนี้หนูอายุ89ปีแล้ว ส่วนพี่ก็90ปีแล้ว ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบหน้ากันแล้วละค่ะ!”
4. เด็กน้อยในหมู่บ้านคนหนึ่ง แม่ของเขาเสียชีวิตลงหลังจากคลอดเขาได้ไม่นาน ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณยายเป็นคนเลี้ยงเขามาตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่ง เด็กน้อยถามคุณยายด้วยความไร้เดียวสาว่า “หนูขอเรียกยายว่าแม่สักครั้งจะได้ไหมครับ?”
5. วันนี้พ่อซื้อทีวีจอใหญ่มา ฉันอยากให้วางไว้ที่ห้องรับแขก แต่แม่บอกว่าให้วางไว้ที่ห้องนอนของพ่อกับแม่แทน เราถกเถียงกันพอหอมปากหอมคอ สุดท้ายพวกเราก็ยอมตามใจแม่ หลายปีผ่านไป มีอยู่วันหนึ่ง แม่ส่งแมสเสจมาหาฉันว่า “ที่แม่อยากให้วางทีวีไว้ที่ห้องของพ่อกับแม่ แม่เพียงอยากให้พวกแกเข้ามาดูทีวีด้วยกันในห้องแม่ แม่แค่อยากให้ลูกๆมาอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ก็เท่านั้นเอง” ฉันน้อยใจแม่มาตั้งนาน เพิ่งเข้าใจแม่ก็วันนี้ ฉันจึงปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร
6. ฉันถามสามีของฉันว่า “หากฉันเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย คุณจะรักษาฉันไหม?” สามีเกือบจะหลับแล้ว งัวเงียลุกขึ้นมาพูดว่า “อย่าพูดในเรื่องที่ไม่เป็นมงคล… ต่อให้ขายบ้านขายช่องขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพื่อรักษาคุณ ผมก็จะทำ” ฉันถามต่อไปว่า “แล้วถ้าคุณเป็นล่ะ?” สามีตอบอย่างไม่ต้องคิดว่า “ไม่ต้องรักษาผมนะ คุณตัวคนเดียว จะหาเงินหาทองมันลำบาก”
7. เหตุการณ์ที่ไม่ได้ตั้งใจครั้งหนึ่ง วันนั้นฉันเอามือถือของสามีมาเล่นเกมส์ บังเอิญได้อ่านข้อความหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อความก่อนที่พ่อของฉันจะจากไปไม่นาน ก่อนหน้านั้นเราไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาล พ่อส่งข้อความให้สามีของฉันว่า “ฉันมอบดวงใจของฉันให้เธอดูแล ฉันขอร้องให้เธอดูแลดวงใจของฉันให้ดีๆ ต่อให้ฉันตายไป ฉันก็ยังจะขอบคุณและอวยพรเธอเหมือนเดิม” แม้มันจะผ่านมาหลายปี เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ฉันก็อดร้องไห้คิดถึงพ่อไม่ได้
8. หลังจากที่พ่อกับแม่แยกทางกัน ฉันอยู่กับแม่ จนพ่อแต่งงานใหม่ และก็มีลูกกับผู้หญิงคนใหม่ ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าตัวเองคือส่วนเกินของพ่อ ต่อให้ฉันกับแม่ลำบากยังไง เราก็ไม่เคยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากพ่อเลย แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่เราจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากพ่อจริงๆ หลังจากพ่อช่วยจัดการเป็นธุระให้ ฉันจึงส่งข้อความไปหาพ่อ “ขอบคุณค่ะ” ฉันกดส่งไปพร้อมกับน้ำตา ความรู้สึกเหมือนเราห่างกันเหลือเกิน มันไม่เหมือนข้อความที่ลูกส่งให้พ่อของตัวเอง แต่มันเหมือนข้อความที่ฉันได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นที่เราไม่สนิท ผ่านไปสักครู่หนึ่ง เสียงข้อความเตือนก็ดังขึ้น พ่อตอบกลับข้อความของฉันเพียงแค่สองคำสั้นๆ “เด็กโง่” ฉันโหยหาความรู้สึกนี้จากพ่อมาตั้งนาน “พ่อคะ หนูยังเป็นลูกของพ่อเหมือนเดิมใช่ไหมคะ!”
9. ตอนที่ฉันเรียนมัธยมหก คุณยายถามฉันว่าอยากเอ็นติดที่ไหน? ฉันบอกยายว่าอยากไปเรียนเชียงใหม่ คุณยายทำเสียงน้อยใจว่าไปเรียนทำไมตั้งไกล เรียนที่บ้านเราก็ได้จะได้ไม่ไกลกันเกินไป ฉันหัวเราะความคิดของคุณยายกอดแกแล้วก็ลงไปชั้นล่าง ก่อนสอบเอ็นทรานส์เพียงแค่เดือนเดียว คุณยายก็มาด่วนจากไป ไม่ทันได้สั่งความอะไรเลย เช้าวันที่สองของงานศพ ทุกคนต่างยุ่งกับการจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ ฉันเลยเดินขึ้นไปหาคุณตาที่ห้องชั้นบน คุณตานั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย มองมาที่ฉัน ท่านฝืนยิ้มและพูดว่า “ยายหนู ทำยังไงดี วันหลังตาซื้อนมมาก็ไม่มีใครดื่มแล้วสินะ!” ฉันหันหลังเดินออกจากห้องคุณตาด้วยน้ำตานองหน้า
※ 10 สงกรานต์ปีนี้ฉันต้องไปทำงานพิเศษกับบริษัท ฉันจึงโทรไปบอกแม่ว่าปีนี้ฉันไม่ได้กลับบ้านเหมือนทุกปี ค่ำวันที่11 เมษายน พ่อออกมายืนรอรับฉันที่ศาลาหน้าหมู่บ้าน รอจนถึงสามทุ่มแม่จึงมาตามพ่อกลับ “ลูกก็บอกแกแล้วไม่ใช่เหรอว่าปีนี้ไม่ได้กลับบ้าน ต้องไปทำงานพิเศษกับบริษัท? ” แม่ตำหนิพ่อที่ทำตัวเหมือนเด็ก “แกไม่รู้อะไรอย่ามาพูด ฉันรู้ว่าลูกต้องแอบกลับมาเซอร์ไพรส์พวกเราแน่ๆ ” เมื่อแม่โทรมาเล่าให้ฉันฟัง หัวใจของฉันเหมือนมีเข็มเล่มแล้วเล่มเล่าทิ่มแทงจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี
……………………..
กิจการงาน หน้าที่ตำแหน่ง ชื่อเสียงลาภยศ หากสูญเสียไปแล้ว ยังมีโอกาสกลับมาเป็นของเราใหม่ได้ แต่ไม่ใช่คนในครอบครัว คนในครอบครัวนั้น เสียแล้วสูญเลย! จงถนอมคนใกล้ตัวไว้ เพราะนี่คือความรักสายสัมพันธ์

ที่มา: บทความดีๆๆจาก บ.พีโอออยล์ จำกัด

16 พฤติกรรมคนละขั้วของคนประสบความสำเร็จและคนที่ล้มเหลว

image

1. ยอมรับความเปลี่ยนแปลง vs กลัวการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ปฏิเสธได้ การยอมรับความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องยากที่หลายๆ คนจะสามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม ในโลกทุกวันนี้ที่เรามีความเปลี่ยนแปลงกันอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาแบบก้าวกระโดด มันจึงจำเป็นมากที่เราจะต้องกล้ายอมรับความเปลี่ยนแปลงและปรับตัว แทนที่จะกลัวและปฏิเสธมัน

2. อยากให้คนอื่นประสบความสำเร็จ vs หวังให้คนอื่นล้มเหลว
เมื่อคุณอยู่ในองค์กรที่มีคนมากมาย การประสบความสำเร็จหมายถึงทุกคนควรจะประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ไม่ใช่การหวังว่าใครคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จ ถ้าคุณมีความคิดว่าอยากให้อีกฝ่ายหรืออีกทีมล้มเหลว มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะทำงานร่วมกัน?

3. ส่งต่อความสุข vs ส่งต่อความหงุดหงิด
ในการทำธุรกิจนั้น เป็นเรื่องปรกติที่จะเกิดอารมณ์ขณะทำงาน แต่ถ้าคุณส่งต่อความสุขหรือทำให้คนรอบข้างรู้สึกสนุกร่วมไปกับคุณแล้ว ทีมก็ย่อมมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า แต่หากใครส่งค่อความหงุดหงิดให้กับทีมรอบข้างแล้วก็จะยิ่งทำให้คนรอบๆ รู้สึกแย่ ไม่มีแรงกระตุ้น และยากจะทำงานให้ประสบความสำเร็จได้

4. รับผิดชอบกับความล้มเหลว vs โทษว่าเป็นเพราะผู้อื่น
คุณสมบัติข้อหนึ่งของการเป็นผู้นำที่ประสบควาสำเร็จนั้นคือการกล้ารับผิด กล้าเป็นคนที่ออกตัวว่าเป็นคนรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้น การโทษคนอื่นไม่ได้นำไปสู่อะไรทั้งนั้นหากแต่จะทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ไปกว่าเดิมเสียอีก

5. พูดคุยเรื่องของไอเดีย vs พูดคุยแต่เรื่องคนอื่น
การเอาแต่พูดคุยว่าคนอื่นเป็นอย่างไร การซุบซิบนินทาไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรทั้งนั้น มีแต่เสียเวลาไปเปล่าๆ อีกต่างหาก คนที่ประสบความสำเร็จจึงไม่ใช้เวลาไปกับการนินทาคนอื่น หากแต่จะเน้นในการแลกเปลี่ยนความคิดหรือหาวิธีที่จะขับเคลื่อนความคิดต่างๆ ไปข้างหน้า

6. แลกเปลี่ยนไอเดียและข้อมูล vs หวงข้อมูล
การแชร์สิ่งที่มีประโยชน์ให้กับคนอื่นมีแต่จะเป็นประโยชน์กับตัวคุณเอง เพราะมันแสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนที่แคร์คนอื่น ยิ่งในยุค Social Media นั้น การแชร์เรื่องราวดีๆ เป็นส่วนสำคัญของการประสบความสำเร็จ มันยิ่งทำให้คนอื่นสามารถมาร่วมกับคุณในการไปสู่ความสำเร็จได้ แต่การเอาแต่หวงข้อมูลนั้นมีแต่ทำให้คุณเห็นแก่ตัวและคิดถึงผลลัพธ์ในระยะสั้นเท่านั้น
7. ให้เครดิตทุกคนที่ทำให้ประสบความสำเร็จ vs เอาเครดิตจากคนอื่น
การทำงานเป็นทีมเป็นเรื่องสำคัญในการประสบความสำเร็จ มันจำเป็นมากที่ผู้นำจะต้องไม่เอาเครดิตจากคนอื่น แต่ในทางตรงกันข้ามคือให้พวกเขาถูกได้รับการให้ความสำคัญหรือการให้พวกเขาได้มีเวทีที่จะถูกยอมรับ สิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเขาทำงานอย่างมีใจในระยะยาวและทุ่มเทกับงานได้ดียิ่งขึ้นด้วย

8. ตั้งเป้าหมายชีวิต vs ไม่ตั้งเป้าหมายชีวิต
มันเป็นเรื่องยากถ้าคุณจะประสบความสำเร็จโดยที่คุณไม่รู้ว่าคุณกำลังจะมุ่งเป้าไปที่อะไร การตั้งเป้าหมายของชีวิตเป็นแผนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น 10 ปี 3 ปี หรือการวางแผนว่าคุณจะทำอะไร / เป็นอะไรในแต่ละปีนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่คนประสบความสำเร็จมักทำกันเพื่อให้พวกเขารู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่และสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นทำให้เขาเข้าใกล้ความสำเร็จแค่ไหน

9. จดบันทึก vs บอกว่าคุณจดบันทึกแต่จริงๆ ไม่ได้ทำ
ไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์มักเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันอยู่บ่อยๆ หลายๆ ทีมันมักมาแบบผิดที่ผิดเวลา คนที่ประสบความสำเร็จมักจะรีบจดโน๊ตเพื่อบันทึกไอเดียเหล่านั้นอยู่เสมอๆ เพื่อไม่ให้ไอเดียเหล่านั้นสูญหายไป และหลายๆ ครั้งที่ไอเดียเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดงานดีๆ หรือทำให้หลายๆ คนประสบความสำเร็จได้เลยทีเดียว

10. อ่านหนังสือทุกวัน vs ดูทีวีทุกวัน
การอ่านหนังสือทุกๆ วันจะทำให้คุณได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ อยู่เสมอ การอ่านที่ว่านี้อาจจะรวมไปถึงการอ่านบล็อก การอ่านนิตยสาร หรือหนังสือดีๆ ซึ่งทำให้คุณได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม การดูทีวีส่วนใหญ่มักนำไปสู่การทำให้คุณผ่อนคลาย ได้ความบันเทิง ได้หลีกหนีจากความเครียด แต่คุณแทบจะไม่ได้อะไรจากทีวีที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จสักเท่าไร

11. ทำงานด้วยมุมมองที่ปรับตัวอยู่เสมอ vs ทำงานในมุมมองแบบเดิมๆ
ผู้นำที่ประสบความสำเร็จมักจะมองหาวิธีการทำงานที่ดีขึ้นไปกว่าเดิม ทำให้งานไปสู่อีกขั้นหนึ่งอยู่เสมอ พวกเขามักมองการทำงานเป็นเหมือนความท้าทายที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแทนที่จะสนใจแค่การสร้างยอดขายหรือทำงานให้เสร็จๆ ไปในแต่ละวัน

12. เรียนรู้อยู่เสมอ vs หยุดที่จะเรียนรู้
ความรู้ในโลกนี้มีมากมายและยังมีเรื่องราวอีกมหาศาลที่คุณยังไม่ได้รู้ แม้แต่ในสายงานของคุณเองก็ตาม การเรียนรู้และพัฒนาตัวเองคือวิธีเดียวที่จะทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ คุณจะเหนือกว่าคนอื่นหรือเป็นที่โดดเด่นได้ก็เพราะคุณรู้มากกว่าคนอื่น ถ้าคุณหยุดที่จะเรียนรู้หรือคิดว่าตัวเองรู้แล้ว ในไม่ช้าคุณก็จะเป็นผู้ตามในที่สุด

13. กล่าวชมคนอื่น vs วิจารณ์คนอื่น
การชมคนอื่นเป็นวิธีที่ดีในการแสดงความห่วงใยคนที่คุณแคร์ การให้คำชมเป็นวิธีในการสร้างพลังงานและกำลังใจให้บคนทำงาน ในขณะที่การวิจารณ์คน (แบบไม่ดี) มีแต่จะทำให้คนรู้สึกแย่และไม่ได้นำไปสู่อะไรที่เป็นประโยชน์เท่าไรนัก

14. ยกโทษคนอื่น vs เจ้าคิดเจ้าแค้น
ใครๆ ก็ผิดพลาดกันได้ การให้อภัยเป็นสิ่งสำคัญในการก้าวผ่านความผิดพลาดและทำให้ดีขึ้น แต่การตำหนิ ใส่อารมณ์ หรือตามแค้นก็มีแต่จะทำให้สิ่งต่างๆ แย่ลงไปกว่าเดิมต่างหาก

15. รู้ในสิ่งที่คุณ “อยากเป็น” vs ไม่รู้ว่าคุณอยากเป็นอะไร
การทำลิสต์ “To-Be” เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีมากของการตั้งเป้าหมายว่าอนาคตคุณจะเดินไปทางไหน มันทำให้คุณเห็นภาพว่าอนาคตคุณจะเป็นอย่างไรและย้อนกลับมาว่าคุณไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร คนที่ประสบความสำเร็จมักมีภาพในหัวชัดมากว่าพวกเขาอยากเป็นอะไร แต่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จมักไม่มีภาพเหล่านี้อยู่ในหัวเลย

16. กตัญญูและซาบซึ้งกับสิ่งรอบข้าง vs ไม่รู้สึกอะไรกับโลกรอบข้าง
การที่คุณสามารถ “รู้สึก” กับสิ่งรอบข้างทำให้คุณเห็นคุณค่าของความสำเร็จและความสุขมากมายรอบตัว นอกจากนี้คนที่คุณรู้สึกดีมากมักเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ อย่าลืมที่จะขอบคุณและเห็นคุณค่าทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของคุณเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้คุณเข้าใจคำว่า “ความสำเร็จ” มากขึ้นไปยิ่งกว่าเดิม

ที่มา:  บทความดีๆๆจาก บ.พีโอออยล์ จำกัด

ពងស្វាស-ไข่อัณฑะ ภาษาเขมรวันละคำ រៀនភាសាថៃ

image

ภาษาเขมร : ពងស្វាស
อ่านว่า : โปง ซฺวะฮ์
แปลว่า : ไข่อัณฑะ
អានថា : ខៃយ់ អាន់ថៈ
ภาษาอังกฤษ : Testis

ตัวอย่าง : ទើបនឹងឃើញពងស្វាសជ្រូកបាជាលើកដំបូង។
อ่านว่า : អានត-อ่านต่อ

เมียผมคงหูตึงจริงๆแล้วแหละ

ขำ แก้เครียด

image

ผมคิดว่าเมียผมหูคงเริ่มตึงแล้วล่ะ(เพราะอายุ)เลยไปหาข้อมูลในนิตตยสารการแพทย์เขามีวิธีทดสอบคือให้พูดห่าง7,5,3และ1เมตรจะบอกได้ว่าหูปกติ,เริ่มเสื่อม,มีปัญหาและหูตึงตามลำดับ

เย็นนั้นพอกลับเข้าบ้านผมเห็นเมียยืนหันหลังทำกับข้าวอยู่ที่ระยะ7เมตรผมถามว่า”วันนี้กับข้าวอะไรจ๊ะ..เงียบ..ระยะ5เมตร”วันนี้กับข้าวอะไรจ๊ะ”…เงียบ..3เมตรถามประโยคเดิม…ก็เงียบ1เมตร…เธอก็ไม่ตอบผมจึงเดินเข้าไปพูดที่หลังหูเธอแล้วถามดังๆว่า”วันนี้ทำกับข้าวอะไรจ๊ะ”

“แกงไก่กับไข่ตุ๋น..ไอ้แก่ถามอยู่นั่นแหละ..กูตอบเป็นครั้งที่5แล้วนะ(!!)

นิทานล้านนา เรื่อง ชะตามะกอกแห้ง

image

มีสองคนผัวเมียติดตามกันมาหลายชาติ ผัวไม่ชอบเป็นคนทำบุญให้ทาน เอาแต่ดื่มเหล้าเมาสุรา เล่นไพ่ เล่นลูกเต๋า และเล่นไก่ชน ส่วนเมียเป็นคนชอบทำบุญให้ทาน ใฝ่ใจในทางกุศลทุกชาติอยู่มาชาติหนึ่ง เมียนึ่งข้าวไว้แล้วแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเอาไว้กินกันสองคนผัวเมีย อีกส่วนหนึ่งเอาไว้ตักบาตรและตั้งปรารถนาไว้ว่าหากตายไปชาติใดขอให้ได้พ้น จากผัวคนนี้ อย่าได้พบกันอีกเลยฝ่ายผัวได้ยินก็ตั้งปรารถนาว่า จะเกิดชาติใดก็ขอให้ได้พบเมียตนทุกชาติ

อยู่มาอีกหลายชาติ ด้วยผลบุญที่ทำไว้มาก เมียก็ไปเกิดเป็นลูกพญาเจ้าเมืองซึ่งเป็นคนใจบุญได้สร้างหอทำบุญไว้ตรงประตู เมือง มีคนมาขอทานทุกวัน และมีบัญชีจดไว้ว่าวันหนึ่ง ๆ มีผู้หญิงกี่คนชายกี่คน ในชาตินั้นผัวก็ได้เกิดมาเป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่ใส่เสื้อขาดหน้าปะหลังมาขอทาน ด้วยเป็นบุพเพสันนิวาสในชาติก่อน แต่ละชาติก็ไม่ละทิ้งกัน หญิงคนนั้นพอเห็นก็สงสารและมีความเอ็นดูว่าชายคนนี้มีรูปงามจริง ไฉนจึงยากจนนัก เห็นจะเป็นเพราะชาติก่อนไม่ได้ทำบุญให้ทานเสียกระมังจึงอยากจะให้ทานเสื้อ ผ้าแก่ชายคนนั้น

วันหนึ่งนางก็ไปถามเสมียนว่า ” วันนี้มีคนมาขอทานกี่คน ” เสมียนบอกว่า ‘’ วันนี้มีคนมาขอทานเก้าสิบแปดคน ” นางจะให้ทานเสื้อก็ไปสั่งเสื้อมาเก้าสิบแปดผืน รุ่งขึ้นก็ให้เข้ามาขอทานแล้วก็บอกว่า ‘’ พวกผู้ชายรับห่อข้าวแล้วให้ไปเข้าแถวทางด้านตะวันออกเป็นหัวแถว ทางด้านตะวันตกเป็นหางแถว ให้นั่งเรียงกันดี ๆ ” พอดีวันนั้นมีขอทานมาเพิ่มอีกคนหนึ่งเป็นเก้าสิบเก้าคน แต่ผ้ามีเก้าสิบแปดผืน นางบอกคนใช้ให้แจกทางหัวแถวไปทางทิศตะวันตก พอแจกไปก็ขาดตรงที่ผัวนางพอรุ่งขึ้นทึกคนก็ใส่เสื้อใหม่มากันหมด ผัวนางก็ยังใส่เสื้อเก่า หญิงคนที่เป็นเมียก็ให้ห่อข้าวแล้วถามว่า ‘’ เป็นยังไงถึงไม่ใส่เสื้อใหม่มาเพื่อนคนอื่น ๆ เขาใส่เสื้อใหม่กันทุกคน ‘’ ‘’ ข้าไม่ได้รับ เพราะข้าไปนั่งสุดท้ายแถว ” ‘’ ขาดไปกี่คน ” ขาดเฉพาะข้าคนเดียวนี่แหละ ‘’ ‘’ พรุ่งนี้จะให้ทานกางเกงนะ ‘’

นางก็ถามเสมียนว่า ‘’ วันนี้ขอทานมากี่คน ‘’ เก้าสิบเก้าคน ‘’ เอากางเกงมาเก้าสิบเก้าตัวนะ ” ตอนนี้กลับมีคนเพิ่มอีกคนรวมเป็นหนึ่งร้อยคน ตอนนี้นางก็บอกว่าทางทิศตะวันออกเป็นหัวแถว ทางทิศตะวันตกเป็นท้ายแถว เพราะว่าวันก่อนผัวนางไปนั่งอยู่ท้ายสุดและไม่ได้เสื้อ ตอนนี้มีคนมาเพิ่มอีกคนเป็นหนึ่งร้อยคน กางเกงมีเก้าสิบเก้าตัว นางก็บอกว่าให้แจกทางซ้ายขึ้นมาก่อนเพราะว่าเมื่อวานนี้ขาดไปทางท้ายแถว พอแจกทางทางท้ายก็ขาดทางหัวแถว ในที่สุดผัวนางก็ยังต้องใส่เสื้อตัวเก่านุ่งกางเกงตัวเก่าตามเคย รุ่งขึ้นนางก็ถามว่า ‘’ พี่ชายทำไมยังใส่เสื้อเก่าอยู่ล่ะ ก็เมื่อวานนี้ยังไม่ได้รับแจกหรือ ” ” ไม่ได้ ‘’ ‘’ ไปนั่งทางไหนล่ะ ” ‘’ ไปนั่งท้ายแถวโน่น ‘’ .” ไม่ได้กี่คน ‘’ ไม่ได้ข้าคนเดียว ‘’ นางก็สอบถามเสมียนดูก็ปรากฏว่ามีคนมาเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยคนจริง ๆ จึงได้ขาดไปหนึ่งคน รุ่งขึ้นนางก็อย่างจะให้ทานเสื้อผ้าแก่ผัวของนางคนเดียวเพราะนางรักอยู่คน เดียว ครั้นจะให้ทานอยู่คนเดียวก็เกรงว่าจะเป็นการลำเอียง นางก็สั่งมาอีกร้อยชุดทั้งเสื้อและกางเกง คิดหาทางจะให้ผัวนางได้รับให้ได้ แต่ในวันนี้ก็กลับมีคนมาจากไหนก็ไม่รู้มาเพิ่มอีกคนหนึ่งเป็นร้อยหนึ่งคน นางให้เข้าแถวทางทิศตะวันออกเป็นหัวแถว ทางตะวันตกเป็นหางแถว ชายคนนั้นก็วิ่งขึ้นวิ่งลง จะไปนั่งทางท้ายแถวก็กลัวจะไม่ได้จะไปนั่งทางหัวแถวก็กลัวจะไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี คิดไปคิดมา ก็นับตั้งแต่หัวแถวมาถึงคนที่ห้าสิบแล้วก็ไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลาง นางสั่งคนแจกว่า แจกทางด้านตะวันออกมาห้าสิบแล้วแจกทางตะวันตกมาอีกหาสิบ ฝ่ายผัวซึ่งไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลาง นางสั่งคนแจกว่า แจกทางด้านตะวันออกมาห้าสิบแล้วแจกทางตะวันตกมาอีกห้าสิบ ฝ่ายผัวซึ่งไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลางก็เลยไม่ได้ รุ่งขึ้นก็ใส่เสื้อเก่ากางเกงเก่ามาอีกปุ ๆ ปะ ๆ ขาด ๆ มาหาเมีย นางก็ถามว่า ‘’ ทำไมไม่ใส่เสื้อใหม่มาล่ะ ‘’ ใคร ๆ เขาก็ใส่ใหม่กันทุกคนไปนั่งอยู่ตรงไหนอีกล่ะ ‘’ ‘’ ข้าไม่ได้นั่งตรงไหน ข้าไปแทรกอยู่ตรงกลาง ‘’ ‘’ โองั้นขาดไปอีกกี่คน ” ก็ขาดข้าคนเดียวนี่แหละ ” ไปถามเสมียนดูก็ได้ความว่ามีคนมาเพิ่มจำนวนอีกเป็นร้อยเอ็ดคน ‘’ จะทำยังไงดีน้า จะช่วยมันอย่างไรดีไม่ให้ขาดตรงมัน จะทำยังไงดี ‘’ พอถึงกลางคืนนางก็มานอนคิด ได้ความว่าเอาทองหนักสิบบาทมาใส่ในข้าวห่อแล้วทำเครื่องหมายไว้ รุ่งขึ้นพอมันมาก็จะยกข้าวห่อให้มันแต่พอมันได้ข้าวห่อแล้วก็เอาไปแลกเหล้า เขากินเสีย รุ่งขึ้นก็ยังขอทานอีก นางก็ถามว่า ‘’ พี่ชายเอาข้าวห่อไปไม่ได้กินหรืออย่างไร ‘’ .” ไม่ได้กินหรอก ‘’ พี่ชายเอาไปไหนเสียล่ะ ” เอาไปแลกเหล้ากินเสียแล้ว ” ‘’ โอ พี่ชายคนนี้มันเป็นอย่างไรของมันหนอ ไม่มีบุญ ไม่มีกุศล ไม่ได้สั่งสม ไม่ได้ทำทาน ไม่ได้บริจาคไว้กระมัง มันถึงไม่ได้รับของทานสักครั้ง ‘’ นางเองนอนคิดทั้งคืนก็ยิ่งทำให้เป็นห่วงมากขึ้นกว่าเดิม เอาทองหนักอีกยี่สอบบาทใส่ในข้าวก่อให้อีก รุ่งขึ้นก็ยกข้าวห่อที่ใส่ทองไว้หนักยี่สิบบาทไปให้ ‘’ พี่ชาย วันนี้อย่าเอาไปแลกเหล้าอีกนะ แล้วก็อย่าเอาไปขายด้วยขอให้เอาไปกินจริง ๆ นะ เมื่อลูกสาวพญาเจ้าเมืองสั่งเช่นนั้นก็มีความยินดีนัก จะเอาไปกินตรงไหนก็ไม่เหมาะใจ มีต้นนกยูงต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาลงไปทางแม่น้ำปิงโน่น ในขณะนั้นน้ำกำลังท่วม ชายคนนั้นก็ไต่กิ่งไม้ขึ้นไปแก้ห่อข้าวกินอยู่บนกิ่งไม้นั้นเพื่อให้สม เกียรติแก่นางผู้ให้ แก้ห่อข้าวอย่างระมัดระวัง ทองมันหนักถึงยี่สิบบาทแก้ไปแก้มา ห่อข้าวก็ตะลุมปุ๋มป๋ำไปในน้ำโน่นจนได้ ไม่ได้กินข้าวแม้คำเดียว รุ่งขึ้นก็ไปขอทานอีก ” พี่ชายทำไมยังมาขอทานอยู่อีกล่ะไม่ได้กินข้าวอีกหรือ ” ‘’ กินก็ไม่ได้กินแม่น้อง ” ‘’ พี่ชายไปกินตรงไหนล่ะ ” ‘’ กินบนต้นไม้ริมแม่น้ำโน่นอะไรก็ไม่รู้อยู่ในหอข้าวแม่น้องเลยตกลงไปในน้ำ เสียแล้ว ” นายคนนี้ต้องไม่ได้ทำบุญกุศลอะไรไว้แน่ ยิ่งมีความสงสารมากขึ้น ‘’ พี่ชายกินข้าวเช้าแล้วให้เข้าไปบ้านนะ ” เมื่อเข้าไปถึงบ้านแล้ว น่งถามว่า ‘’ พี่ชายทำอะไรได้บ้าง มีวิชาความรู้อะไรบ้าง ” ‘’ ยิงด้ามไม้เป็น ยิงกบเก่ง ‘’ ดังนั้นนางจึงเอาปืนให้กระบอกหนึ่ง ‘’ พี่ชาย ปืนนี้ถ้ายิงขึ้นขึ้นฟ้าแล้วตกลงมาแผ่นดินลึกสักหนึ่งวา กว้างหนึ่งวา ก็จะเอาทองเอาเงินใส่ให้เท่าที่น้ำหนักดินชั่งได้ ถ้าตกโดนอะไรในราคาเท่าไร ก็จะใช้ให้เท่าราคานั้น ชายคนนั้นก็ยินดีว่าตนจะได้เงินได้ทองตอนนี้กระมังหนอออกไปกลางทุ่งนา มีกรมการไปด้วย ๓ คน ‘’ เอา ได้เวลาแล้วเตรียมยิงปืนขึ้นบนอากาศได้ ๑ – ๒ – ๓ เป็ง ” เสียงปืนดังหวิว ๆ ตกใส่ลูกมะกอกแห้ง ชั่งหนัก ๒ สลึงนายคนนั้นก็ได้ทอง ๒ สลึง อย่างนี้เขาเรียกว่า ชะตามะกอกแห้ง

ข้อคิดที่ได้จากกนิทานเรื่องนี้ คนโบราณเชื่อว่า คนชะตาไม่ดีทำอะไรย่อมไม่สมหวัง แต่ทางพระพุทธศาสนาสอนให้ใช้ปัญญาและขันติธรรมจึงจะพบความสำเร็จ

คติ ‘’สอนให้คนประพฤติดี ละความชั่ว ”

ងងុយ-ง่วง ภาษาเขมรวันละคำ រៀនភាសាថៃ

image

ภาษาเขมร : ងងុយ
อ่านว่า : โงงุย
แปลว่า : ง่วง
អានថា : ង់ួង
ภาษาอังกฤษ : sleepy

ตัวอย่าง : ងងុយគេងដល់ហើយ អត់ចង់ទៅធ្វើការសោះ។
อ่านว่า : អានត-อ่านต่อ

បៅដោះ-ดูดนม ภาษาเขมรวันละคำ រៀនភាសាថៃ

image

ภาษาเขมร : បៅដោះ
อ่านว่า : เบาเด๊าะฮ์
แปลว่า : กินนม, ดูดนม(โดยตรงจากเต้า)
អានថា : គីន់ នំ
ภาษาอังกฤษ : Drink milk, breastfeed

ตัวอย่าง : កូនគោកំពុងបៅដោះគោ។
อ่านว่า :
អានត-อ่านต่อ

ผึ้งและแมลงวัน

image

ถ้าหากคุณจับเอาผึ้ง 6 ตัวใส่ในขวด และจับแมลงวัน 6 ตัวเช่นกัน ใส่ในอีกขวด

จากนั้นค่อย ๆ วางขวดให้นอนลง โดยหันก้นขวดไปทางหน้าต่าง

คุณจะพบว่าผึ้งพยายามที่จะบินออกทางก้นขวด จนกระทั่งมันตายจากการขาดอาหาร

ในขณะที่แมลงวันนั้น จะสามารถบินออกมาทางฝั่งคอขวด ที่อยู่ด้านตรงข้ามกับก้นขวดซึ่งหันไปทางหน้าต่าง

เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าผึ้งเป็นสัตว์ที่ฉลาด มีองค์ความรู้ พวกมันรู้ว่าการบินไปในทิศทางที่มีแสงสว่าง

จะเป็นทางออกจากรัง โพรงไม้ ฯลฯ แต่เมื่อต้องมาอยู่ในขวด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ผึ้งไม่เคยเผชิญมาก่อน

มันก็ยังคงเชื่อในความคิดแบบเดิมที่มีมาตลอด คือ ต้องบินออกทางแสงสว่างเท่านั้น

แต่สำหรับแมลงวัน มันเป็นสัตว์ที่ไม่มีความคิดเป็นตรรกะ ดังนั้นเมื่อถูกจับไว้ในขวด มันจึงบินชนผนังขวดจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง

ชนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็พบทางออก

การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า คนฉลาด รู้มาก ก็สามารถที่จะล้มเหลวได้เพราะความรู้มาก ในขณะที่ผู้ไม่รู้ก็อาจจะประสบความสำเร็จ

จากการลองทำในสิ่งที่แตกต่างไปเรื่อย ๆ ได้เช่นกัน

ខ្ពើម-ขยะแขยง ภาษาเขมรวันละคำ រៀនភាសាថៃ

image

ภาษาเขมร : ខ្ពើម
อ่านว่า : คฺเปิม
แปลว่า : ขยะแขยง
អានថា : ខៈយ៉ៈខៈយ៎ែង
ภาษาอังกฤษ : disgusting, abhor

ตัวอย่าง : អ៊ូយ! ខ្ពើមណាស់!
อ่านว่า : อูย  คฺเปิม น่ะฮ์
แปลว่า : โอ๊ย ขยะแขยงอ่ะ
អានថា : អូយ! ខៈយ៉ៈខៈយែង អៈ

Admin : Rithy

คนอื่นและและพ่อแม่

image

เวลาไม่มีเงิน …
คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่
แต่พอมีเงิน…
คนแรกที่คิดถึงคือแฟนและเพื่อน

อยากได้รถ ..
คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่
แต่พอมีรถ…
คนแรกที่จะไปรับคือแฟนและเพื่อน

ร้านอาหารหรู ๆ บรรยากาศคลาสสิค …
มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน
อาหารบนโต๊ะที่บ้าน .
มีสำหรับพ่อและแม่

โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า …
มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน
ทีวี และสวนหน้าบ้าน …
มีไว้สำหรับพ่อและแม่

พ่อและแม่ คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน …
เพื่อความอยู่รอด
ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นอินเทอร์เน็ตก่อนนอน …
เพื่อให้หลับฝันดี

เวลาเรามีความสุข .
มักจะมองหาแฟนและเพื่อน
เวลาเรามีความทุกข์ .
คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจ คือพ่อและแม่

เวลาประสบความสำเร็จ !..
เรามักมองหาแฟนและเพื่อนเพื่อนัดฉลองและสังสรรค์
แต่คนที่ดีใจที่สุดคือพ่อและแม่ …
แต่พ่อและแม่
กลับกลายเป็นคนที่เรามองข้ามไป

ลูกไปรื่นเริงตามโรงภาพยนตร์
เธค ผับ โต๊ะสนุกเกอร์ ฯลฯ …
พ่อและแม่กลับทำงาน หรือ
นอนหลับเก็บแรงไว้ทำงานหาเงินในวันรุ่งขึ้น
เพื่อแลกความสุขของลูก
อยากให้ลูกเรียนสูง ๆ

เวลาแต่งงาน …
คนที่เป็นธุระหาสินสอดทองหมั้นคือพ่อและแม่
คนที่มีความสุขคือลูก

พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้ง
เต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย
..เพื่อให้ลูกได้ดี
แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่ พ่อและแม่พูด …
เป็นแค่เรื่องไร้สาระ

พ่อและแม่ …
คือผู้ฝ่าฟันปัญหาเป็นร้อยพันประการเพื่อลูก
แต่พอลูกมีปัญหา …
มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่หรืออยากตาย!!!!

พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้อง
และยืนเคียงข้างลูกจวบจนชีวิตจะหาไม่
ลูกกำลังคิดถึงสิ่งใด … ???

คำว่า “พ่อ” หรือ “แม่”
อาจเป็นคำแรกที่เราพูดได้ตั้งแต่เกิด
แล้วคุณเตรียมอะไรไว้
เพื่อคุณพ่อคุณแม่ของคุณหรือยัง

เค้าบอกว่า…ถ้าอ่านแล้วส่งต่อ
ก็เท่ากับว่าได้ชี้นำให้ผู้อื่นที่อยู่ใกล้ตัวคุณเห็นค่าของความรัก

ขอบคุณเจ้าของภาพเเละข้อความ

ដល់ម្លឹងផង?-มีงี้ด้วย ภาษาเขมรวันละคำ រៀនភាសាថៃ

image
ภาษาเขมร : ដល់ម្លឹងផង
อ่านว่า : ด็อวล์ มฺเลิง พ้อง
แปลว่า : มีงี้ด้วย, ขนาดนั้นเชียว
អានថា : មីង៑ីដ់ួយ, ខៈណាតណ៑ាន់ឆៀវ
ภาษาอังกฤษ : I can’t believe that it happens!, WTF!

ตัวอย่าง : ហាស់!? ដល់ម្លឹងផង? ចេះធ្វើទៅកើត!
อ่านว่า : ฮ๊ะฮ์  ด็อวล์ มฺเลิง พ้อง  แจ๊ะฮ์เทฺวอ เติว เกิว์ด
แปลว่า : អានត-อ่านต่อ