ក្លាសេ,ត្រាំទឹកកក-แช่เย็น ภาษาเขมรวันละคำ រៀនភាសាថៃ

image

ภาษาเขมร : ក្លាសេ, ត្រាំទឹកកក
อ่านว่า : คลาเซ, ตรำตึกกอก
แปลว่า : អានត-อ่านต่อ

พระใหม่ให้พร

image

…พระบวชใหม่อยู่เฝ้าวัดองค์เดียวเพราะยังสวดอะไรกะเขาไม่เป็น. พระอื่นๆไปกิจนิมนต์กันหมด

….ลูกศิษย์วัดวิ่งมาบอกว่า มีโยมเอาของมาถวาย

หลวงพี่:  เอาอะไรมาถวาย

ลูกศิษย์วัด:  ปลาร้าครับหลวงพี่ ยกมาทั้งไห

หลวงพี่: งั้นให้โยมตั้งไว้ เดี๋ยวออกไปรับ

พอหลวงพี่ออกมา เห็นโยมเอาไหปลาร้าตั้งไว้บนอาสนะ หลวงพี่ก็เลยดึงอาสนะอื่นมานั่ง แล้วรับประเคนไหปลาร้า

โยม:  ขอพรด้วยครับหลวงพี่
 
หลวงพี่นึกตกใจ ทำไงดี เพิ่งบวช สวดอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็กลัวจะเสียหน้า ก็เลยใหัพรแกโยมไป

หลวงพี่:รับพรนะ….
อะปะรามะตัง ตังทีนะมะตัง มะตังที ทีกูจะนัง. สาธุ
  โยมเดินยิ้มกลับไปอย่างมีความสุข
 
ลูกศิษย์วัด: หลวงพี่ สวดมนต์บทไหนครับ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

หลวงพี่: จุ๊ๆๆ อย่าเอ็ดไป หลวงพี่สวดไม่เป็น…

อะปะรามาตัง  แปลว่า
เอาปลาร้ามาตั้ง….

ตังทีนะมะตัง…
แปลว่า…ตั้งทีไหนไม่ตั้ง….

มะตังที ทีกูจะนัง…
แปลว่า มาตั้งที่ที่กูจะนั่ง
ลูกศิษย์วัด : 5555555555

สาวตาบอด ถูกรุมโทรม ข่มขืน

image

เกิดเหตุ สาวตาบอด ถูกรุมโทรม ข่มขืน     ข่มขืนเฉยๆนะ   แต่ไม่ได้ทำร้ายร่างกายอย่างอื่นเลย

หลังจากเกิดเหตุแล้ว   เธอก็เข้าแจ้งความกับตำรวจ

ตำรวจ       :   จะบอกเบาะแสอะไร ได้บ้าง ?

สาวตาบอด :    มันมากันทั้งหมด  7  คนค่ะ !!!

ตำรวจ       :     รู้ได้อย่างไร ?

สาวตาบอด :     คนแรก น่าจะรับราชการค่ะ

ตำรวจ        : ทำไม   ถึง คิดว่า เขารับราชการล่ะ

สาวตาบอด  :   ก็เค้าชอบ เลียแข้งเลียขา แล้วก็ ชอบทำ ๆ หยุด ๆ

ตำรวจ        :   แล้วคนที่สองล่ะ?

สาวตาบอด  :    น่าจะเป็น หมอค่ะ

ตำรวจ         : ทำไมล่ะ ?

สาวตาบอด   :   ก้อเค้าชอบคลำ จับโน่นจับนี่ แล้วบอก ให้นอนนิ่งๆ แล้วพลิกซ้าย พลิกขวา   แล้วก้อเฝ้าถามอยู่แต่ว่า   เจ็บมากมั้ย  เจ็บมากมั้ย   (ผมแอบคิด   ดีนะ   มันไม่ถาม  เจ็บมั้ยลูก ?    ไม่งั้นคดี พลิกเลยนะ   5 5 5  )

ตำรวจ         :   แล้วคนที่สามล่ะ ?

สาวตาบอด   :   น่าจะ ทำงานเอกชน

ตำรวจ          :   ทำไมล่ะ

สาวตาบอด    :   คนนี้   ทำไม่หยุดเลยค่ะ….         ส่วนคนที่สี่น่าจะเป็นครูนะ

ตำรวจ          :    รู้ได้ไง ?

สาวตาบอด    :   คนที่สี่ นี่ทำไปสอนไปค่ะ .. หนูล่ะอยากจะบร้า   กรูโดนข่มขืนอยู่นะโว้ยยย สอนอยู่ได้  แถมทำเสร็จ  มีการจะมาให้คะแนน หนูอีกแน่ะ

ตำรวจ          :   แล้วคนที่ห้าล่ะ 

สาว ตาบอด   :     คนที่ห้า กับที่หก  นี่   สงสัยจะเป็นนักการเมืองค่ะ

ตำรวจ           :     คุณรู้ได้ยังไง

สาวตาบอด     :   ไอ้สองคนนี้   มันทำไป  ป้อนคำหวานไปค่ะ   บอกว่า เสร็จแล้ว  จะให้โน่น ให้นี่  อย่าไปแจ้งความนะ  มันบอกว่าอาจจะเลี้ยงดูหนูเลยก็เป็นได้    แล้วหนูรู้ด้วยนะ  ว่า 2 คนนี้  เค้าอยู่พรรคไหน กัน    คนที่ห้านี่อยู่พรรคประชาธิปัตย์ แต่คนที่หก อยู่พรรคเพื่อไทย

ตำรวจ          :     เฮ่ยยยยย    จะเก่งเกินไปแล้ว   หนูรู้ได้ไง

สาวตาบอด    :   รู้สิ  ทำไมจะไม่รู้     ก็คนที่ห้า  มันทำไป  ป้อนคำหวานไป    แต่มันทำไม่เสร็จ      ส่วนคนที่หก ป้อนเหมือนกัน แต่มันทำจนเสร็จ ค่ะ

ตำรวจ         :    5 5 5   ( เผลอหัวเราะ)  หนูนี่เก่ง จิง   มาถึง  คนสุดท้าย   แล้ว   คนสุดท้ายนี่ ใคร

สาวตาบอด    :     คนสุดท้าย    นี่   เป็น   ทหาร   แน่นอน   ร้อย %  เลยค่ะ   หนูมั่นใจสุดๆ

ตำรวจ          :     ยังไง    ไหนลองว่าไปซิ

สาวตาบอด   :     ก็คนสุดท้ายนี่ล่ะค่ะ   ที่ข่มขืน หนูรุนแรงที่สุด    พอเสร็จแล้ว  หนูก็ต้องร้องไห้ ใช่มะ  …

                       แล้วมันก็ดุเอา    บอกแต่ว่า   จะร้องทำไม  จะร้องทำไม   เอาความสุขมาคืนให้แท้ๆ จะร้องทำไม    ทีหลังอย่าใส่บิกินี่อีกนะ

                       เนี่ยล่ะค่ะ  หนูถึงมั่นใจ  ว่ามานเป็น ต๊ะหาน  !!

เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง

image

       หากเราหาเหตุผลให้กับตัวเอง ว่าทำไมเราถึงรักคนๆ นี้นัก แล้วเหตุผลที่ได้ มีแค่เพียง. . .รักเพราะรัก
ฟังดูอาจเลื่อนลอยไร้จุดหมายเกินไป แต่สำหรับคนที่รักกัน เหตุผลเพียงแค่นี้ ก็เพียงพอที่จะสานต่อความรักให้อยู่ต่อไป แต่กับคนที่เรารักเขา แล้วเขาไม่รักเรา ไม่เคยจะมองเห็นแม้แต่คุณค่าในตัวเรา ต่อให้เราหยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้เขาเพียงไหน หรือให้เหตุผลมากมายในคำว่ารักที่เรามีให้ เขาก็คงมองไม่เห็นมันเหมือนกัน และกับคนประเภทนี้ ยิ่งเราเรียกร้องมากแค่ไหน ก็จะยิ่งสร้างความเหนื่อยใจให้กับเราเท่านั้น ถ้าคุณมีความสุขกับมันก็ดีไป แต่สุข. . .แล้วเหนื่อยใจก็น่าคิดเหมือนกันคนเราเหนื่อยแล้วก็ต้องพัก ต้องหาทางออกที่ทำให้เราดีขึ้น กับเรื่องของความรักก็เช่นกัน เมื่อเราต้องเหนื่อยล้าเพราะมัน คงต้องพักซะบ้าง ลองหยุดวิ่งตามเขาซักครั้ง แล้วมาเดิน(แค่เดิน) ตามตัวเองดูสักหน คุณอาจรู้สึกดีกว่าการต้องวิ่งตามใครคนนั้น อย่างน้อยๆ คุณจะพบว่า . .. การเรียนรู้ที่จะรักตัวเองนั้นไม่ทำให้เราเหนื่อยใจเลย
รักตัวเองไม่ยากเลยนะคะ ถ้ายังไขว่คว้าหารัก แต่ยังไม่พบเจอคนที่รักเราจริง ก็อย่าฝืนนะคะ เดี๋ยวจะเสียใจทีหลัง ถ้าเสียใจก็ขอให้คิดถึงตัวเองให้มากๆ แล้ว บางทีสิ่งดีๆก็อาจรอเราอยู่ในวันข้างหน้า นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ที่มา – fwdder.com

ตัวชี้วัดว่า “ตื่นรู้” มากแค่ไหน (Key Behavior Indicator)

1.  สดใสขึ้น ใจว่างๆ โล่งๆ (ใจดี หรือ ดีใจ ไม่เหมือน ใจโล่งๆ นะ) ไม่อมทุกข์ ไม่หน้าบึ้ง

2.  ยิ้มง่ายขึ้น ยิ้มให้คนอื่นก่อน ไม่ต้องรอ ให้คนอื่นยิ้มให้ก่อน

3.  ไหว้คนอื่นได้ก่อน ไม่มีข้อแม้ ว่าใครต้อง ไหว้ใครก่อน

4.  ถ่อมตน ไม่เจ้ายศ ไม่เจ้าอย่าง ง่ายๆ ติดดิน

5.  รับผิดชอบงานมากขึ้น ไม่อ้าง ไม่หนี อดทน ยอม

6.  มีเมตตามากขึ้น ใช้เมตตาธรรมนำหน้าเหตุผล

7.  ดู สังเกต มากกว่าที่จะ ด่วนวิจารณ์ ด่วนออกอาการ ด่วนออกอารมณ์ แม้นจะโดนด่า โดนเข้าใจผิด ก็ยัง อดทน ควบคุมตนเองได้ง่ายๆ ปล่อยๆ ไม่เอาเรื่อง ไม่เอาก็ได้

8.  เปิดโอกาส ให้ผู้อื่นพูดมากขึ้น ฟังมากขึ้น ไม่ด่วน “สวนกลับ” ไม่ด่วน “หักคอ” ไม่ด่วนสรุป  ไม่ด่วนฟันธง  ไม่แทรกแซง ขณะคนอื่นกำลังพูด อัตราการเต้น ของหัวใจปกติ ไม่ตูมตาม เมื่อโดนคนอื่นด่า

9.  ยอมรับ เปิดใจ ยอมรับ ความคิดเห็น ที่แตกต่างได้ รับฟังอีกมุมมองได้

10.  ขยันๆ และ ”กล้า” ลงมือทำ ในเรื่องที่ดี เป็นกุศล ต่างๆ ทันที โดยไม่มีข้อแม้ ไม่เอาเรื่องในอดีต มาทำให้สะดุด ในการที่จะทำ ไม่เอา เรื่องในอนาคต มาหยุดตนเอง ทำตาม เป้าหมายได้ ไม่วอกแวก รู้จัก focus

11.  กตัญญู พ่อแม่ ไปหา ไปดูแล ไปคุย กับผู้มีพระคุณ มากขึ้น ครูเก่า เจ้านาย ที่เคย ช่วยสอน ผู้มีอุปการะคุณ ฯลฯ

12.  สัตว์เลี้ยงต่างๆ จะเดินเข้ามาหา เพราะคนที่ใจสงบ ตื่นรู้ บรรดาสัตว์ ในธรรมชาติเขาจะรับรู้

13.  ไม่เมาบุญ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร

14.  “ให้” บริจาค จิตอาสา ทำเพื่อส่วนรวม มากขึ้น

15.  รู้สึกว่าตนเอง เป็นหนึ่งเดียว กับธรรมชาติ รู้สึกว่า ผู้คนกับ ตัวเอง เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่รู้จะทำลายกันไปทำไม

16.  คบ บัณฑิต หลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ดีๆ มากขึ้น ไปหา ไปฟังธรรม จากท่าน ตามโอกาส

17.  ห่างไกล คนพาล อบายมุข

18.  รักษาศีล ๕ มากๆ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่ผิดกาม ไม่โกหก หลอกลวง ไม่ดื่มของมึนเมา

19.  ชื่นชมผู้คน (Appreciation) ยินดีที่ คนอื่นได้ดี หรือ มี มุทิตา นั่นเอง

20.  ไม่นินทาใคร ไม่ทำให้ใคร แตกแยก ชวนให้คนสามัคคีกัน

21.  ไม่กังวล หลับสบาย หลับง่าย

22.  ไม่ค่อยฝันร้าย เช่น ในฝัน ไม่รู้สึกวิ่งยากลำบาก ก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป  ไม่ฝันว่าฟันหัก  ไม่ฝันว่ากลับไปเป็นเด็ก แล้วเครียดก่อนสอบอีก

23.  ฝันดีบ่อย เช่น เจอพระ เจอคนดีๆ ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น มีความสุข

24.  นึกอะไร อยากได้อะไรที่ดีๆ เป็นกุศล ไม่นาน ก็จะได้ หรือ มีคนเอามาให้

25.  ยอมคน เช่น ยอมให้แซงคิว ยอมให้เอาเปรียบ ยอมให้ต่อว่าฯลฯ แต่คิด เตือนอย่างนุ่มนวล

26.  ไม่ด่วน ”ประเมิน” ตัดสิน ตัดเกรด แบ่งแยก พิพากษาผู้คน (judgement) ห้อยแขวน (suspend) เอาไว้ก่อน ดูมากขึ้น เผื่อคาดไม่ถึงบ้าง

27.  รักผู้คน แบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional love) ไม่หวังผล ให้ก็คือให้ ไม่มีข้อแม้ ไม่อิจฉา ไม่ริษยา

28.  รู้จักสติ ที่ฐานกาย ใช้ “กายรู้กาย” ได้มากขึ้น นานขึ้น ต่อเนื่องมากขึ้น รู้ๆ ทุกก้าว ทุกอิริยาบท

29.  ”จับ” ความรู้สึก ที่“ใจ” ของตนเองได้ รู้ว่าใจกุศล อกุศล

30.  “แยกแยะ” จิต กับ ความคิด ได้ รู้จักความคิดจร (ความคิด นอกแผน ความคิดที่ ไม่ได้ตั้งใจคิด ความคิดที่ชวนไป เละเทะ ฟุ้งซ่าน ออกนอกทางฯ) เป็น นีโอ ที่ สามารถ จับกระสุนความคิด ที่ กิเลสยิงใส่มาได้

31.  กลับไปอ่าน หนังสือธรรมะ แล้ว เข้าที่ “ใจ”มากขึ้น ร้อง “อ๋อ” มากขึ้น

32.  ไม่กลัวตาย สิ้นข้อสงสัย และ ไม่งมงาย ในศีลภายนอก

… ขอให้กัลยาณมิตร ทุกท่านมีความสุข ประสบผลสำเร็จ สมดังหมาย ด้วยเทอญ

โดย ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ