แม่ของฉันเป็นกุ๊กปรุงอาหาร

image

แม่เกิดในครอบครัวคนงานเหมืองแร่ เพราะฐานะทางบ้านยากจนมาก เด็กที่รักการเรียนและเรียนดีอย่างแม่ ต้องออกจากโรงเรียนมาทำงานทั้งๆที่ยังเรียนไม่จบประถมด้วยซ้ำไป
แม่ติดตามไปอยู่ที่บ้านกุ๊กใหญ่นานถึง 3 ปี 4 เดือน กว่าจะได้ทำหน้าที่เป็นกุ๊ก
ช่วงไฮซีซั่น แม่ยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไรอื่น
ช่วงโลว์ซีซั่น เพราะแม่ไม่มีความรู้อะไรอื่น จึงควบทั้งตำแหน่งกุ๊กและคนรับใช้ที่บ้านของกุ๊กใหญ่ เรียกว่าทำงานแบบไม่มีวันหยุด

ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก เวลาเพื่อนๆพูดถึงแม่ของตัวเอง พวกเธอมักจะอวดกันว่าแม่ของเธอทำอะไรอร่อยที่สุด หรือบทความที่เขียนถึงอาหารที่แม่ทำให้ทานเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลต่างๆ
ฉันก็มักจะคิดถึงอาหารที่แม่ทำอร่อยเป็นพิเศษ แต่ฉันนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เพราะเวลาที่แม่ของฉันทำอาหารที่ร้าน ก็เต็มโต๊ะไปหมด ทั้งรสชาติและสีสัน ทุกอย่างแม่ทำอร่อยหมด

เมื่อต้นปี แม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แม่บอกทุกๆคนว่า
“โรคจริงไม่มีหมอรักษา ในเมื่อเป็นระยะสุดท้าย ก็ปล่อยไปตามเวรตามกรรม ฉันจะไม่ไปแย่งเตียงคนไข้กับใครที่โรงพยาบาล ในเมื่อรักษาไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันจะไม่ทำให้ใครต้องมาเดือดร้อน”

แม่ลาออกจากงานกลับมาอยู่บ้าน
ไม่ถึงครึ่งปี เชื้อมะเร็งก็ลามไปทั่ว แม้แต่จะพูดจาก็ยังทำได้ลำบาก
เช้าวันนั้น แม่กลับอาการดีขึ้นอย่างน่าประหลาด พูดคุยได้เป็นปกติ
แม่เล่าเรื่องในอดีตให้ฉันฟัง
และมีอยู่ตอนหนึ่ง แม่เล่าเรื่องความเชื่อของคนโบราณว่า
“หากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในบ้านกินข้าวแล้วตายจากไป นั่นแปลว่า ท่านต้องการใช้บุญวาสนาที่สร้างมาจนหมดแล้วค่อยตาย แต่หากไม่ทันได้กินหรือไม่ยอมกินในมื้อก่อนตาย นั่นก็แปลว่า ยินดีเหลือบุญวาสนาให้ลูกหลานได้สืบต่อ ให้ลูกหลานได้ใช้”
“แม่พูดอะไรไม่เป็นมงคลเลยนะคะ ไม่เอา หนูไม่อยากฟังอะไรพวกนี้แล้ว แม่เหนื่อยแล้วไปพักเถอะค่ะ”
ฉันกล่าวตัดบท เพราะไม่อยากให้แม่เล่าเรื่องอะไรแบบนี้ให้ฟังอีก
“แม่ไม่รู้สึกเพลียอะไรเลย ให้แม่พูดเถอะลูก ไม่งั้น วันหลังลูกอยากฟังก็จะไม่มีโอกาสได้ฟังนะ”

ตั้งแต่ยังเล็ก แม่สอนให้ฉันหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ และสอนทำกับข้าว แม่บอกว่า
“แม้การทำอาหารเป็นเรื่องลำบาก แต่อย่างน้อยลูกต้องรู้จักทำให้ได้สัก2-3อย่างจะได้ไม่อดตาย แม่ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าลูกจะเดินทางเส้นไหน แต่หากมีฝีมือในการทำกับข้าวอยู่บ้าง วันหน้าก็ทำร้านอาหารพอเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้บ้าง”

แม่เป็นกุ๊ก ทำไม่กลัวว่าฉันจะอดตาย?
แม่มักจะเปรียบชีวิตของแม่เหมือนมะระ ที่ขมทั้งชีวิต ไม่ว่าแม่จะหาเงินเก่งยังไง สุดท้ายพ่อก็ขโมยเงินแม่ไปเล่นการพนันเสมอ ก่อนที่พ่อจะตาย ก็ทิ้งหนี้พนันก้อนโตให้แม่ต้องใช้หนี้แทน

“แม่ไม่ต้องห่วงพวกหนูอีกแล้วนะ พวกหนูโตแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางอดตาย ความยากจนมันไม่อยู่กับเราอีกต่อไปแล้วคะแม่!” ฉันพูดปลอบใจไม่ให้แม่ต้องห่วงพวกเราอีกต่อไป
“ชีวิตของแม่ ทุกข์จนไม่รู้จะทุกข์ยังไงแล้ว แม่กลัว! แม่อดไม่เป็นไรหรอก แต่ลูกทั้ง4จะอดไม่ได้! เมื่อก่อน ต่อให้ลำบาก ต่อให้เหนื่อย ต่อให้ไม่สบายแม่ก็สู้แม่ไม่ยอมตาย เพราะลูกๆยังไม่โต ตอนนี้ แม่ไม่ห่วงลูกๆแล้ว สวรรค์ไม่เพียงคุ้มครองลูกของแม่ให้เติบใหญ่ ยังช่วยลูกๆของแม่มีการงานทำดีๆกันทุกคนเลย ต่อให้แม่ตายไปวันนี้ก็ตาหลับ” แม่พูดจบก็มองฉันด้วยความรักความห่วงใย
ฉันกับแม่คุยกันนานจนต่างคนต่างก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ ฉันรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแม่เรียก ฉันกึ่งหลับกึ่งตื่นเดินไปตามเสียงที่ได้ยิน แม่อยู่ในครัว
แม่บอกกับฉันว่า แม่ไม่ไหวแล้ว ฉันจึงพยุงแม่ไปนอนบนโซฟาในห้องรับแขก ฉันกอดแม่ไว้แน่น แม่บอกว่าถ้าพี่ๆมา ก็ให้ตักข้าวให้พี่ๆกิน ให้ดูและพี่ๆให้ดี และแม่ก็พูดกับฉันด้วยอาการสงบว่า
“แม่ไปละนะ!”
พูดไม่ทันสิ้นเสียง แม่ก็สิ้นใจ!

ฉันโทรบอกพี่ๆว่าแม่สิ้นใจแล้ว
ป้าบอกให้ฉันไปหุงข้าวและเตรียมอาหารไหว้แม่เป็นมื้อสุดท้าย ฉันเดินเข้าครัวด้วยอาการเหม่อลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เปิดฝาหม้อหุงข้าวออกแล้วก็ต้องสะดุ้งกับความร้อนของหม้อที่โดนข้อมือแบบจังๆ ฉันรีบสะบัดมือปล่อยฝาหม้อหุงข้าว
กลิ่นของข้าวระเหยเข้าจมูก มันหอมมาก เมื่อฉันเปิดฝาหม้อหุงข้าวอีกครั้ง ข้าวสวยร้อนๆเรียงเม็ดอย่างสวยงามเต็มหม้อ
และเมื่อมองไปที่โต๊ะกับข้าว ก็มีอาหารจานใหญ่ๆ 2-3 อย่างถูกฝาชีครอบไว้
ฉันรู้สึกประหลาดใจ แม่เอาแรงมาจากไหนทำกับข้าวกลางวันพวกนี้?
และวันนี้ก็มีแต่ฉันกับแม่ที่อยู่บ้าน ทำไมแม่หุงข้าวและทำกับข้าวไว้มากมายยังกับจะมีคนมากินเป็น10คน?
แม่ที่ขี้เกรงใจใครต่อใคร แม้แต่อาหารมื้อสุดท้าย ก็ยังต้องลงมือทำด้วยตนเอง

สิ่งที่แม่ทำเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิต ก็คือเข้าครัวทำอาหารให้ลูกๆ กิน
ฉันมองไปที่อาหารบนโต๊ะอีกครั้ง น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว นี่คือเสบียงที่แม่เหลือไว้ให้แก่ลูกๆ
จะบังเอิญหรือว่าตั้งใจ ฉันคิดว่านี่คือสิ่งที่แม่อยากทำเพื่อพวกเราเป็นครั้งสุดท้าย

ไม่ถึงชั่วโมง พี่ๆก็เดินทางมาถึงบ้าน
ฉันทำตามคำที่แม่กำชับไว้ก่อนตาย
นั่นก็คือตักข้าวใส่ชามแบ่งให้พี่ๆทุกคน แล้วเราก็กินข้าวพร้อมหน้ากัน
เราพี่น้องไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่มองอาหารและข้าวในชาม เราต่างก็ร้องไห้ ข้าวมื้อนี้ ทำไมมันกลืนลงคอยากเย็นอย่างนี้
ข้าวแต่ละคำ เปี่ยมไปด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของแม่ที่เพิ่งจากไป………….

นุสนธิ์บุคส์

Leave a Reply