มีสองคนผัวเมียติดตามกันมาหลายชาติ ผัวไม่ชอบเป็นคนทำบุญให้ทาน เอาแต่ดื่มเหล้าเมาสุรา เล่นไพ่ เล่นลูกเต๋า และเล่นไก่ชน ส่วนเมียเป็นคนชอบทำบุญให้ทาน ใฝ่ใจในทางกุศลทุกชาติอยู่มาชาติหนึ่ง เมียนึ่งข้าวไว้แล้วแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเอาไว้กินกันสองคนผัวเมีย อีกส่วนหนึ่งเอาไว้ตักบาตรและตั้งปรารถนาไว้ว่าหากตายไปชาติใดขอให้ได้พ้น จากผัวคนนี้ อย่าได้พบกันอีกเลยฝ่ายผัวได้ยินก็ตั้งปรารถนาว่า จะเกิดชาติใดก็ขอให้ได้พบเมียตนทุกชาติ
อยู่มาอีกหลายชาติ ด้วยผลบุญที่ทำไว้มาก เมียก็ไปเกิดเป็นลูกพญาเจ้าเมืองซึ่งเป็นคนใจบุญได้สร้างหอทำบุญไว้ตรงประตู เมือง มีคนมาขอทานทุกวัน และมีบัญชีจดไว้ว่าวันหนึ่ง ๆ มีผู้หญิงกี่คนชายกี่คน ในชาตินั้นผัวก็ได้เกิดมาเป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่ใส่เสื้อขาดหน้าปะหลังมาขอทาน ด้วยเป็นบุพเพสันนิวาสในชาติก่อน แต่ละชาติก็ไม่ละทิ้งกัน หญิงคนนั้นพอเห็นก็สงสารและมีความเอ็นดูว่าชายคนนี้มีรูปงามจริง ไฉนจึงยากจนนัก เห็นจะเป็นเพราะชาติก่อนไม่ได้ทำบุญให้ทานเสียกระมังจึงอยากจะให้ทานเสื้อ ผ้าแก่ชายคนนั้น
วันหนึ่งนางก็ไปถามเสมียนว่า ” วันนี้มีคนมาขอทานกี่คน ” เสมียนบอกว่า ‘’ วันนี้มีคนมาขอทานเก้าสิบแปดคน ” นางจะให้ทานเสื้อก็ไปสั่งเสื้อมาเก้าสิบแปดผืน รุ่งขึ้นก็ให้เข้ามาขอทานแล้วก็บอกว่า ‘’ พวกผู้ชายรับห่อข้าวแล้วให้ไปเข้าแถวทางด้านตะวันออกเป็นหัวแถว ทางด้านตะวันตกเป็นหางแถว ให้นั่งเรียงกันดี ๆ ” พอดีวันนั้นมีขอทานมาเพิ่มอีกคนหนึ่งเป็นเก้าสิบเก้าคน แต่ผ้ามีเก้าสิบแปดผืน นางบอกคนใช้ให้แจกทางหัวแถวไปทางทิศตะวันตก พอแจกไปก็ขาดตรงที่ผัวนางพอรุ่งขึ้นทึกคนก็ใส่เสื้อใหม่มากันหมด ผัวนางก็ยังใส่เสื้อเก่า หญิงคนที่เป็นเมียก็ให้ห่อข้าวแล้วถามว่า ‘’ เป็นยังไงถึงไม่ใส่เสื้อใหม่มาเพื่อนคนอื่น ๆ เขาใส่เสื้อใหม่กันทุกคน ‘’ ‘’ ข้าไม่ได้รับ เพราะข้าไปนั่งสุดท้ายแถว ” ‘’ ขาดไปกี่คน ” ขาดเฉพาะข้าคนเดียวนี่แหละ ‘’ ‘’ พรุ่งนี้จะให้ทานกางเกงนะ ‘’
นางก็ถามเสมียนว่า ‘’ วันนี้ขอทานมากี่คน ‘’ เก้าสิบเก้าคน ‘’ เอากางเกงมาเก้าสิบเก้าตัวนะ ” ตอนนี้กลับมีคนเพิ่มอีกคนรวมเป็นหนึ่งร้อยคน ตอนนี้นางก็บอกว่าทางทิศตะวันออกเป็นหัวแถว ทางทิศตะวันตกเป็นท้ายแถว เพราะว่าวันก่อนผัวนางไปนั่งอยู่ท้ายสุดและไม่ได้เสื้อ ตอนนี้มีคนมาเพิ่มอีกคนเป็นหนึ่งร้อยคน กางเกงมีเก้าสิบเก้าตัว นางก็บอกว่าให้แจกทางซ้ายขึ้นมาก่อนเพราะว่าเมื่อวานนี้ขาดไปทางท้ายแถว พอแจกทางทางท้ายก็ขาดทางหัวแถว ในที่สุดผัวนางก็ยังต้องใส่เสื้อตัวเก่านุ่งกางเกงตัวเก่าตามเคย รุ่งขึ้นนางก็ถามว่า ‘’ พี่ชายทำไมยังใส่เสื้อเก่าอยู่ล่ะ ก็เมื่อวานนี้ยังไม่ได้รับแจกหรือ ” ” ไม่ได้ ‘’ ‘’ ไปนั่งทางไหนล่ะ ” ‘’ ไปนั่งท้ายแถวโน่น ‘’ .” ไม่ได้กี่คน ‘’ ไม่ได้ข้าคนเดียว ‘’ นางก็สอบถามเสมียนดูก็ปรากฏว่ามีคนมาเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยคนจริง ๆ จึงได้ขาดไปหนึ่งคน รุ่งขึ้นนางก็อย่างจะให้ทานเสื้อผ้าแก่ผัวของนางคนเดียวเพราะนางรักอยู่คน เดียว ครั้นจะให้ทานอยู่คนเดียวก็เกรงว่าจะเป็นการลำเอียง นางก็สั่งมาอีกร้อยชุดทั้งเสื้อและกางเกง คิดหาทางจะให้ผัวนางได้รับให้ได้ แต่ในวันนี้ก็กลับมีคนมาจากไหนก็ไม่รู้มาเพิ่มอีกคนหนึ่งเป็นร้อยหนึ่งคน นางให้เข้าแถวทางทิศตะวันออกเป็นหัวแถว ทางตะวันตกเป็นหางแถว ชายคนนั้นก็วิ่งขึ้นวิ่งลง จะไปนั่งทางท้ายแถวก็กลัวจะไม่ได้จะไปนั่งทางหัวแถวก็กลัวจะไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี คิดไปคิดมา ก็นับตั้งแต่หัวแถวมาถึงคนที่ห้าสิบแล้วก็ไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลาง นางสั่งคนแจกว่า แจกทางด้านตะวันออกมาห้าสิบแล้วแจกทางตะวันตกมาอีกหาสิบ ฝ่ายผัวซึ่งไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลาง นางสั่งคนแจกว่า แจกทางด้านตะวันออกมาห้าสิบแล้วแจกทางตะวันตกมาอีกห้าสิบ ฝ่ายผัวซึ่งไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลางก็เลยไม่ได้ รุ่งขึ้นก็ใส่เสื้อเก่ากางเกงเก่ามาอีกปุ ๆ ปะ ๆ ขาด ๆ มาหาเมีย นางก็ถามว่า ‘’ ทำไมไม่ใส่เสื้อใหม่มาล่ะ ‘’ ใคร ๆ เขาก็ใส่ใหม่กันทุกคนไปนั่งอยู่ตรงไหนอีกล่ะ ‘’ ‘’ ข้าไม่ได้นั่งตรงไหน ข้าไปแทรกอยู่ตรงกลาง ‘’ ‘’ โองั้นขาดไปอีกกี่คน ” ก็ขาดข้าคนเดียวนี่แหละ ” ไปถามเสมียนดูก็ได้ความว่ามีคนมาเพิ่มจำนวนอีกเป็นร้อยเอ็ดคน ‘’ จะทำยังไงดีน้า จะช่วยมันอย่างไรดีไม่ให้ขาดตรงมัน จะทำยังไงดี ‘’ พอถึงกลางคืนนางก็มานอนคิด ได้ความว่าเอาทองหนักสิบบาทมาใส่ในข้าวห่อแล้วทำเครื่องหมายไว้ รุ่งขึ้นพอมันมาก็จะยกข้าวห่อให้มันแต่พอมันได้ข้าวห่อแล้วก็เอาไปแลกเหล้า เขากินเสีย รุ่งขึ้นก็ยังขอทานอีก นางก็ถามว่า ‘’ พี่ชายเอาข้าวห่อไปไม่ได้กินหรืออย่างไร ‘’ .” ไม่ได้กินหรอก ‘’ พี่ชายเอาไปไหนเสียล่ะ ” เอาไปแลกเหล้ากินเสียแล้ว ” ‘’ โอ พี่ชายคนนี้มันเป็นอย่างไรของมันหนอ ไม่มีบุญ ไม่มีกุศล ไม่ได้สั่งสม ไม่ได้ทำทาน ไม่ได้บริจาคไว้กระมัง มันถึงไม่ได้รับของทานสักครั้ง ‘’ นางเองนอนคิดทั้งคืนก็ยิ่งทำให้เป็นห่วงมากขึ้นกว่าเดิม เอาทองหนักอีกยี่สอบบาทใส่ในข้าวก่อให้อีก รุ่งขึ้นก็ยกข้าวห่อที่ใส่ทองไว้หนักยี่สิบบาทไปให้ ‘’ พี่ชาย วันนี้อย่าเอาไปแลกเหล้าอีกนะ แล้วก็อย่าเอาไปขายด้วยขอให้เอาไปกินจริง ๆ นะ เมื่อลูกสาวพญาเจ้าเมืองสั่งเช่นนั้นก็มีความยินดีนัก จะเอาไปกินตรงไหนก็ไม่เหมาะใจ มีต้นนกยูงต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาลงไปทางแม่น้ำปิงโน่น ในขณะนั้นน้ำกำลังท่วม ชายคนนั้นก็ไต่กิ่งไม้ขึ้นไปแก้ห่อข้าวกินอยู่บนกิ่งไม้นั้นเพื่อให้สม เกียรติแก่นางผู้ให้ แก้ห่อข้าวอย่างระมัดระวัง ทองมันหนักถึงยี่สิบบาทแก้ไปแก้มา ห่อข้าวก็ตะลุมปุ๋มป๋ำไปในน้ำโน่นจนได้ ไม่ได้กินข้าวแม้คำเดียว รุ่งขึ้นก็ไปขอทานอีก ” พี่ชายทำไมยังมาขอทานอยู่อีกล่ะไม่ได้กินข้าวอีกหรือ ” ‘’ กินก็ไม่ได้กินแม่น้อง ” ‘’ พี่ชายไปกินตรงไหนล่ะ ” ‘’ กินบนต้นไม้ริมแม่น้ำโน่นอะไรก็ไม่รู้อยู่ในหอข้าวแม่น้องเลยตกลงไปในน้ำ เสียแล้ว ” นายคนนี้ต้องไม่ได้ทำบุญกุศลอะไรไว้แน่ ยิ่งมีความสงสารมากขึ้น ‘’ พี่ชายกินข้าวเช้าแล้วให้เข้าไปบ้านนะ ” เมื่อเข้าไปถึงบ้านแล้ว น่งถามว่า ‘’ พี่ชายทำอะไรได้บ้าง มีวิชาความรู้อะไรบ้าง ” ‘’ ยิงด้ามไม้เป็น ยิงกบเก่ง ‘’ ดังนั้นนางจึงเอาปืนให้กระบอกหนึ่ง ‘’ พี่ชาย ปืนนี้ถ้ายิงขึ้นขึ้นฟ้าแล้วตกลงมาแผ่นดินลึกสักหนึ่งวา กว้างหนึ่งวา ก็จะเอาทองเอาเงินใส่ให้เท่าที่น้ำหนักดินชั่งได้ ถ้าตกโดนอะไรในราคาเท่าไร ก็จะใช้ให้เท่าราคานั้น ชายคนนั้นก็ยินดีว่าตนจะได้เงินได้ทองตอนนี้กระมังหนอออกไปกลางทุ่งนา มีกรมการไปด้วย ๓ คน ‘’ เอา ได้เวลาแล้วเตรียมยิงปืนขึ้นบนอากาศได้ ๑ – ๒ – ๓ เป็ง ” เสียงปืนดังหวิว ๆ ตกใส่ลูกมะกอกแห้ง ชั่งหนัก ๒ สลึงนายคนนั้นก็ได้ทอง ๒ สลึง อย่างนี้เขาเรียกว่า ชะตามะกอกแห้ง
ข้อคิดที่ได้จากกนิทานเรื่องนี้ คนโบราณเชื่อว่า คนชะตาไม่ดีทำอะไรย่อมไม่สมหวัง แต่ทางพระพุทธศาสนาสอนให้ใช้ปัญญาและขันติธรรมจึงจะพบความสำเร็จ
คติ ‘’สอนให้คนประพฤติดี ละความชั่ว ”